รีวิว เที่ยวอุทัยธานี วัดท่าซุง ห้วยขาแข้ง คันทรีโฮม รีสอร์ท
อุทัยธานีมีอะไร?..ผมเชื่อเป็นคำถามของหลายๆ คน หากนึกถึงอุทัยธานี สถานที่ท่องเที่ยวที่หลายคนคุ้นหู ก็คงเป็น วัดท่าซุง และพิธีตักบาตรเทโวที่วัดสังกัสรัตนคีรี ยอดเขาสะแกกรัง….อุทัยธานีมีมากกว่านั้น เมืองเล็กๆ เมืองนี้ทำเอาผมต้องฝากใจไว้ และต้องไปเยือนอีกครั้ง หลังจากทริปนี้ ผลจากความอุดมสมบูณ์ของผืนป่าห้วยขาแข้งมันทำให้สองข้างทางถนนในอุทัยธานีนั้นเขียวขจี ผมขับรถเปิดกระจกสูดอากาศที่สดชื่นตลอดทาง สถานที่ท่องเที่ยวนั้นยังคงดำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติที่น่าไปสัมผัส หากใครต้องการเที่ยวเชิงธรรมชาติ อุทัยธานีเป็นจังหวัดที่ไม่ควรมองข้ามอีกต่อไป
ผมเดินทางจากกรุงเทพ 6 โมงเช้า ใช้เส้นทาง บางบัวทอง สุพรรณบุรี ดอนเจดีย์ อำเภอด่านช้าง จากนั้น มุ่งสู่ อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ใช้เวลา 3 ชั่วโมง เป๊ะๆ
ทริป 3 วัน 2 คืน ของผมนี้ เป็นทริปขับรถเที่ยวเรื่อยเปื่อย ไม่ได้มีการวางแผนใดๆ เนื่องจากผมแค่อยากไปอุทัยธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่ผมไม่เคยไปเลยสักครั้ง และนี่คือครั้งแรกจริงๆ กับอุทัยธานี
อุทัยธานีเป็นจังหวัดเล็กๆ ถนนหลัก มีไม่กี่สาย น่าขับรถเที่ยวมากๆ ครับ สำหรับท่านใดต้องการไปเที่ยวอุทัยธานี ผมแนะนำโบว์ชัวร์อันนี้เลยครับ ข้อมูลดีมากๆ รับประกันว่าท่านไม่พลาดกับสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ ของเมืองอุทัยแน่ๆ
คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่
แผนที่ท่องเที่ยวอุทัยธานี พร้อมหมายเลขทางหลวง ผมใช้แผนที่นี้แหละครับ ในการเที่ยวทริปนี้
คลิกเพื่อดูแผนที่ขนาดใหญ่
แผนที่ภายในเขตเทศบาลเมืองอุทัยธานี
คลิกเพื่อดูแผนที่ขนาดใหญ่
เมื่อถึงตัวเทศบาลบ้านไร่ จะเจอสี่แยกใหญ่ๆ จะมีปั๊ม ปตท. ขวามือ และเซเว่นอยู่ทางซ้าย ให้เลี้ยวซ้าย
ตรงไปตามถนน จากนั้นเลี้ยวขวาที่สามแยก แล้วตรงไปที่นี่ครับ วัดถ้ำเขาวง
ธรรมสถานวัดถ้ำเขาวง เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมอยู่บนเชิงเขา มีลักษณะเป็นศาลาทรงไทยนะครับ
อยู่ติดกับภูเขาด้านหลัง ผมมาถึงวัดถ้ำเขาวงตั้งแต่เช้า ทีนี่เงียบและอากาศดีมากครับ
เอาล่ะครับ มาถึงเช้ามีเวลาเยอะ เราไปต่อกันที่ใกล้ๆ กับวัดถ้ำเขาวงกันเลยดีกว่า
เลี้ยวซ้ายออกจากวัดถ้ำเขาวง จะเจอกับถนนเล็กๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยไร่อ้อย
ไปตอนเช้าๆ จะเจอแสงแดดกระทบดอกอ้อย สวยมากเลยล่ะ
ทางอาจจะเปลี่ยวหน่อย แต่ไม่ต้องตกใจนะครับ ขับตรงไปเรื่อยๆ จนสุดถนน ถึงแล้วครับ “ถ้ำพุหวาย”
อันดับแรกต้องทำการเช่าไฟฉายก่อนครับ แค่ 25 บาทเท่านั้น และจะมีเจ้าหน้าที่นำทางไปยังถ้ำพุหวาย
การเดินไปยังถ้ำพุหวายนั้น ต้องเดินขึ้นเขาไปนะ เรียกได้ว่าเดินไปสักพัก
จะได้ยินเสียงหายใจดัง ฟืดฟาดๆ กันเลยล่ะ อิอิ
ไม่ต้องตกใจนะครับ ไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้วล่ะ อันนี้เป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในถ้ำระหว่างทาง
ถ้ำพุหวาย เป็นถ้ำหินงอกหินย้อยที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยนะครับ ที่นี่ ไม่มีไฟฟ้าหรือแสงสว่างใดๆในถ้ำ เพราะความร้อนจะทำให้ถ้ำนั้นตาย และจะไม่เกิดหินงอกหินย้อยอีก
การชมหินงอกหินย้อยในถ้ำพุหวาย ต้องใช้ไฟฉายอย่างเดียวเท่านั้น
ใครต้องการถ่ายภาพ แนะนำให้นำขาตั้งไปด้วย ไม่งั้นท่านจะไม่ได้ภาพกลับออกมาแน่นอน
สภาพหินงอกหินย้อย ต้องบอกว่าสมบูรณ์มากกกก ต้องขอบคุณทางอุทยานจริงๆ ครับ
ที่รักษาธรรมชาติสวยๆ แบบนี้ไว้ให้เราได้ชมกัน
บริเวณนี้มีลักษณะคล้ายน้ำตก ของจริงสวยงามมากครับ
มาดูมุมกว้างๆ ของถ้ำพุหวายกันบ้าง ถ่ายภาพลำบากมากครับ ของจริง สวยกว่าในภาพเยอะ
ไปเที่ยวอุทัยธานี อย่าพลาดไปชมถ้ำพุหวายกันนะครับ นายหัวคอนเฟิร์มว่า หินงอกหินย้อยสมบูรณ์มากๆ
บริเวณใกล้ๆ กันนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่นะครับ เช่น พระพุทธรูปหลวงพ่อโตขนาดใหญ่ที่วัดผาทั่ง ถ้ำเกร็ดดาว น้ำตกผาร่มเย็น ซึ่งอย่างที่บอกครับ ทริปนี้เป็นทริปขับรถเที่ยวเรื่อยเปื่อยของผม ดังนั้นสถานที่ดังกล่าวผมไม่ได้แวะ แต่ทริปหน้าไม่พลาดแน่นอน
ผมขับรถย้อนกลับมายังตัวเทศบาลบ้านไร่อีกครั้ง เพื่อมุ่งหน้าไปยังอำเภอลานสัก (ทางหลวงหมายเลข 3282) เป้าหมายของผมคือ น้ำตกไซเบอร์
ทางเข้าน้ำตกไซเบอร์ ต้นทางอาจจะขรุขระหน่อย แต่แป๊บเดียวก็เจอเรียบๆ แล้วล่ะครับ
พอไปถึงทางขึ้นน้ำตก(700 เมตร) ผมนั่งพักแป๊บนึง น้ำใสไหลเย็น บวกกับอากาศดีๆแบบนี้ ผมดันง่วงซะงั้น สงสัยจะเพลีย (อาจเป็นเพราะเห็นสภาพทางขึ้น และระยะทางไปน้ำตก อิอิ)
ได้แค่ภาพที่ทำการมาครับ ไม่ได้ขึ้นไปน้ำตกซะงั้น
สภาพร่างกายผมตอนนี้ สิ่งเดียวที่ต้องการ คือที่พักครับ คืนนี้ผมพักที่ ห้วยขาแข้งคันทรีโฮม รีสอร์ท อยู่บนทางหลวงหมายเลข 3282 นั่นแหละคับ ประมาณ กม.ที่ 38 ก่อนถึงน้ำตกไซเบอร์
ภาพห้องพักและบริเวณรอบๆ รีสอร์ทเป็นยังไงนั้น ค่อยว่ากันครับ เอาเป็นว่าบ่ายแก่ๆ
ห้องพักก็ติดริมธาร เวลาเยี่ยงนี้มันน่านอนที่สุด
หลับครับ หลับยาวยันทุ่มนึงเลย ตกลงทริปนี้จะมาเที่ยว หรือจะมานอนกันแน่เนี่ยเรา เง้ออออ
ป่านนี้แล้วจะไปไหนได้อีกล่ะ ก็ต้องกินมือเย็นที่รีสอร์ทนี่แหละครับ (ทริปนอนกับกินชัดๆ )
ครัวของห้วยขาแข้งคันทรีโฮมรีสอร์ท เค้าจะอยู่ด้านหน้า รีสอร์ทเลย
โซนนี้เป็นโซนบุฟเฟ่มื้อเช้า
สถานที่รับประทานอาหารจะอยู่ติดกับสระน้ำของรีสอร์ท ซึ่งหากเราจะนั่งทานอาหารตรงนี้ก็ได้
เนื่องจากห้วยขาแข้งคันทรีโฮม อ้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ สระว่ายน้ำจึงมีหลังคา ไม่งั้นใบไม้เต็มสระแน่ๆ
แต่คืนนี้รู้สึกบรรยากาศจะเงียบไปหน่อย เพราะแขกจะนั่งฝั่งที่มีคาราโอเกะ
ห้วยขาแข้งคันทรีโฮมรีสอร์ท เป็นรีสอร์ทแนวใกล้ชิดธรรมชาติ ดังนั้นเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ จึงเป็นไม้ส่วนใหญ่
ที่นี่มีโต๊ะอาหารพอที่จะรับแขกที่มากันเป็นหมู่คณะ สัมนา หรือเข้าค่ายต่างๆ
และก็มีคาราโอเกะ ไว้คอยบริการด้วยนะครับ มันขาดไม่ได้จริงๆ เนาะสำหรับการเข้าพักแบบหมู่คณะ
เวทีขนาดพอเหมาะ สำหรับไว้จัดกิจกรรม สำหรับแขกที่เข้าพักเป็นหมู่คณะ
ครัวของที่นี่ไม่จำเป็นต้องติดแอร์เลย เพราะที่นั่งนั้นโล่ง ไม่แออัด เย็นสบายๆ
ตอนกินข้าว มีนักร้องหนุ่มหล่อเสียงดี มาร้องเพลงให้ฟังซะด้วย เรียกว่าเป็นมื้อเย็นที่วิเศษเลยทีเดียว
ต่อด้วยนักร้องสาวสวยเสียงดี อิอิ อันที่จริงเป็นแขกโต๊ะอื่นเค้าน่ะครับ เค้ามากันเป็นคณะ เลยร้องคาราโอเกะกัน
พรุ่งนี้ผมจะไปเดินป่าที่อุทยานห้วยขาแข้ง งั้นเราเข้านอนเอาแรงกันก่อนดีกว่าครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เช้าวันใหม่อากาศดีมากครับ มีหมอกจางๆ ผมถือกล้องเดินตรงไปที่ไร่อ้อย หลังรีสอร์ททันที
ดูๆ ไปก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่อากาศตอนเช้าในไร่อ้อย มันสดชื่นดีครับ สูดได้เต็มปอด
ถึงแม้มันไม่มีอะไรพิเศษ แต่มันก็วิเศษ กว่าตึกรามบ้านช่อง เสียงรถ ควันพิษในเมืองเป็นไหนๆ
แสงแดดยามเช้า สาดส่องผ่านหมอกบางๆ กระทบดอกอ้อยที่พลิ้วไหวเบาๆ ตามกระแสลม
บรรยากาศแบบนี้อยากให้มาสัมผัสด้วยกันจริงๆ
เส้นทางความสุขนี้ถึงแม้มันไม่ยาวนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติอย่างผม
ดอกหญ้าริมทาง กับน้ำค้างตอนเช้ามองแล้วมันสดชื่นหัวใจซะจริงเชียว
เอาล่ะ เราไปกินมื้อเช้าเพื่อเตรียมตัวไปเดินป่าห้วยขาแข้งกันดีกว่าครับ
มื้อเช้าของผมวันนี้เป็นไข่กระทะ ต้องบอกว่าเป็นเมนูที่อร่อยถูกใจเลยล่ะ ชอบที่มีแครอทด้วยนี่แหละ เคี้ยวแล้วมันกรึ๊บๆ ดี
ตามด้วยขนมปัง แยมพร้อมเนย จัดแบบเต็มๆ ไม่มีกั๊ก
ขาดไม่ได้คือข้าวต้ม สุดยอดอาหารเช้าของคนไทยอย่างเราๆ เอิ่ม..ขอตัวสักครู่ล่ะกันครับ
เช้านี้ผมขับรถออกจากห้วยขาแข้งคันทรีโฮมรีสอร์ท เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปยังอำเภอลานสัก (ทางหลวง 3282)
แป๊บเดียวถึงนี่ครับ น้ำพุร้อนสมอทอง
ที่น้ำพุร้อนสมอทองมีรถ ATV และจักรยานให้ปั่นเล่นด้วยครับ พื้นที่เค้ากว้างพอสมควร
และที่นี่ก็ยังมีบริการบ้านพัก(มีหลายหลัง)และที่กางเต๊นท์ด้วยนะ ซึ่งอยู่ติดกับอ่างเก็บน้ำห้วยขุนแก้ว อากาศดีเวอร์ครับ
บริเวณท่าน้ำ มีแพให้เราสามารถลงไปถ่ายภาพ หรือยืนรับลมเย็นๆ ได้ รู้สึกว่าล่าสุด จะมีการจัดลอยกระทงที่นี่ด้วยนะ
บ่อน้ำร้อนที่นี่มีการป้องกันปากบ่อไว้อย่างดี มันก็จริงอยู่เนาะ ไม่รู้ทำไมนักท่องเที่ยวเรา เจอบ่อน้ำร้อนแล้วต้องต้มไข่ทุกที
มันสุกก็สุกนั่นแหละ แต่เปลือกไข่ที่แกะทิ้งไว้ บางทีมันก็เป็นขยะที่ทำให้ไม่น่าดูเลย
อันนี้มีลักษณะเป็นสระ และน้ำร้อนจากบ่อนี้แหละ ที่สูบไปให้นักท่องเที่ยวใช้บริการแช่เท้า รู้สึกคนละ 10 บาทมั้งครับ
ผมออกจากน้ำพุร้อนสมอทอง แวะจอดรถบนสะพานถ่ายภาพ อ่างเก็บน้ำห้วยขุนแก้ว ซึ่งเป็นทางผ่าน
ที่หัวสะพานมีปลาสดๆ ที่หาได้จากอ่างเก็บน้ำห้วยขุนแก้ว วางขายด้วยนะครับ
การจับปลาของชาวบ้านแถวนี้ใช้แห และดักตาข่ายอย่างเดียวเลย
ลุงบอกว่าจับแค่พอขายวันๆ แค่นั้น จับเยอะๆ ไม่ไหว มันเหนื่อย เพราะปลาเยอะมาก
ปลาแดดเดียวก็ทำเช้าขายเย็น รับประกันว่าแดดเดียวของแท้จริงๆ
บริเวณนี้ไม่มีไฟฟ้าใช้นะครับ เค้าอยู่กันแบบพึ่งพิงธรรมชาติล้วนๆ
ขอบคุณ คุณลุงทั้งสองและคุณป้าแม่ค้าด้วยนะครับ น่ารักทุกท่านเลย
ครับ เราเดินทางกันต่อ ขับรถชมวิวริมทางไปเรื่อยๆ ก็จะเจอสามแยกนิคม
เลี้ยวซ้ายไปห้วยขาแข้ง เลี้ยวขวาไป หุบป่าตาด และตัวเมืองอุทัยธานี
ผมเลี้ยวซ้ายที่สามแยก ขับตรงไป ประมาณ 40 กิโลเมตร ก็ถึงแล้วล่ะครับ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
ทางเข้าห้วยขาแข้งเป็นถนนลาดยางช่วงนึง ต่อจากนั้นเป็นถนนดิน รถเก๋งสามารถเข้าถึงที่ทำการอุทยานเลย
แต่ไม่แนะนำสำหรับรถโหลดเตี้ย หรือรถใส่ยางแก้มเตี้ยนะครับ สงสารรถของท่านเปล่าๆ
ถึงจุดนี้เราต้องจอดรถ แล้วเดินลงไปครับ
เดินผ่านสะพานแขวน เอ๊ะ!!! นั่นมีเสือลงมาเล่นน้ำด้วย
แหมก็พี่ท่านเพ้นท์ลายเสือซะนะ ช่วงนี้น้ำน้อยไปนิด แต่น้ำใสและเย็นดีจัง ขนาดยืนบนสะพานยังรับรู้ได้เลย (เวอร์เนาะ)
ข้ามสะพานมาแล้ว ก็จะเจอป้ายบอกทาง เราไปเยี่ยมชมบ้าน “สืบ นาคะเสถียร” กันก่อนครับ
ก่อนถึงบ้าน สืบ นาคะเสถียร จะมีอนุสาวรีย์ และพิพิธภัณฑ์ของท่านอยู่ซ้ายมือ
ซึ่งบอกกล่าว ประวัติควมเป็นมา อุดมการณ์และแนวคิดของ “สืบ นาคะเสถียร” ใครผ่านไปก็ลองแวะอ่านดูนะครับ
แล้วท่านจะรู้ว่าชายผู้นี้ น่านับถือ มากๆ
เดินต่อไปอีกหน่อย ก็จะเจออนุสาวรีย์ ซึ่งอยู่หน้าบ้าน ติดกับแม่น้ำเลย
บ้านของท่าน สืบ นาคาะเสถียร เป็นบ้านไม้ธรรมดาๆ หลังหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยครับ
นั่นเป็นการบอกให้รู้อีกทางนึงว่า ชายผู้นี้เค้าใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย
ก่อนขึ้นบ้าน ก็รบกวนถอดรองเท้ากันด้วยนะครับ บ้านหลังนี้ถือเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง
ซึ่งมีการรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี
ด้านหน้านั้นติดแม่น้ำเลย บนบ้านนั้นเย็นสบาย นักท่องเที่ยวหลายๆ คน แอบงีบกันบนบ้านเลยล่ะ
ก็มันเย็นสบายดีอะเนาะ
สมุดเยี่ยมชม วางตรงเก้าอี้กลางบ้าน ใครแวะไปแล้ว ก็อย่าลืมลงชื่อกันนะ
ภายในบ้านจะมีประวัติ และแนวคิดต่างๆ ของ สืบนาคะ เสถียร ส่วนในห้องนั้นล็อคนะครับ
แต่สามารถมองเห็นได้จากกระจกด้านนอก
เอาล่ะครับ ลงชื่อเยี่ยมชมกันแล้ว เราไปเดินป่ากันต่อเลยดีกว่า
กาเดินป่าที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติเขาหินแดงนั้น ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางไป
เพราะผมไปคนเดียว เจ้าหน้าที่เลยนัดหมายไว้แล้วว่าให้ผมเดินไปกับกลุ่มท่องเที่ยวกลุ่มนึง
หลังจากชมบ้านสืบแล้วให้เจอกันหน้าป้ายสำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
แต่ผมมัวแต่ถ่ายภาพอยู่ ไม่มีใครรอผมเลยอ่ะ พอมาถึงเค้าไปกันหมดแว้วว!!
เลยต้องเดินตามไปเอง และได้สวนทางกับเจ้าหน้าที่ชุดอื่น เค้าแนะนำให้กลับ เพราะเค้าบอกว่า ไม่เห็นกลุ่มก่อนหน้านั้น
และมีต่อแตกรังอยู่ เค้ากลัวเป็นอันตราย ผมก็ว่านอนสอนง่าย ก็เลยกลับ เรียกว่างานนี้แห้วเต็มๆ แหะๆ
ไม่เป็นไรครับ เก็บไว้ทริปหน้าจะไม่ให้พลาด ผมขับรถย้อนกลับเส้นทางเดิมครับ ผ่าน เขาฆ้องชัย สวนป่าห้วยระบำ และถ้ำพระยาพายเรือ แต่ไม่ได้แวะนะครับ เพราะตอนนี้มันหิวแล้วล่ะ (กินอีกล่ะ)
มื้อเที่ยงผมแวะที่ ร้านแตน ร้านสังเกตง่ายๆ อยู่ติดกับโรงพยาบาลลานสัก ถ้ากลับจากห้วยขาแข้ง ร้านแตน อยู่ขวามือครับ เค้ามีป้ายอาหารแนะนำมีหลายอย่าง แต่ผมสั่งที่เค้าไม่แนะนำ นี่เลย แกงป่าไทยไทย ต้องใช้คำว่าอร่อยเวอร์
เผ็ดเหงื่อหยด ถูกใจหนุ่มใต้อย่างแรงเรยยย
อันต่อไปก็สั่งเมนูที่เค้าไม่แนะนำอีกนั่นแหละ (เอ๊ะ ยังไง) ไส้อ่อนทอดกระเทียม จานนี้ก็อร่อยครับ
คนเดียวผมสั่งแค่นี้แหละครับ พอดูราคาแล้ว มันถูกดีแฮะ
อิ่มหนำซำบายท้องกันแล้ว ก็ได้เวลานอน เย่ย!! ไปต่อสิ ขับรถย้อนกลับมาเส้นทางเดิมเรื่อยๆ ครับ ผ่านสามแยกนิคมเหมือนเดิม เลยแยกไปหน่อย ก็ถึงแล้วครับ หุบป่าตาด (มีป้ายบอกชัดเจน) ที่นี่เป็น Unseen Thailand ใครไปอุทัยธานี ห้ามพลาดเด๊ดดดขาด
ที่จอดรถกว้างขวาง พนักงานต้อนรับยิ้มแย้มแจ่มใส(เสมอ) ดูสิยิ้มเห็นฟันเลย
เอาล่ะครับ เราไปดูกันเลยดีกว่า ว่าทำไมหุบป่าตาด จึงได้ชื่อว่าเป็น Unseen Thailand
ไอยะห์!!! ลืมบอกไปการไปชมหุบป่าตาด ผมมีน้องหนึ่งไกด์ตัวน้อยนำทางด้วยนะครับ ….
“อ้าววเฮ้ยย รอพี่ด้วยสิน้องงงง ” (ขอบอกว่าเดินเร็วมาก เอ๊ะ หรือว่าเราเดินช้า)
ทางเข้าหุบป่าตาดต้องเดินผ่านถ้ำมืดๆ แบบนี้นะครับ แต่มิต้องกังวล น้องหนึ่ง ของเรามีไฟฉายให้พร้อม
เรียกว่าเดินไม่กี่ก้าว เราก็ถึงทางเข้าหุบป่าตาดแล้วครับ
ถึงแล้วล่ะครับ หุบป่าตาด จากจุดนี้ไป จะไปทางลาดลงไป มีบันไดให้เดินกันได้สบายๆ
และแล้วผมก็เจอกับสิ่งที่เรียกว่าไฮไลท์ของหุบป่าตาดทันที มันคือ “กิ้งกือมังกรสีชมพู”
การค้นพบ กิ้งกือมังกรสีชมพู ในไทยนี้ เป็นการค้นพบที่สุดยอด ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกเชียวนะครับ
ผมถ่ายประวัติ และความเป็นมาของ กิ้งกือมังกรสีชมพู มาให้ดูคร่าวๆ
ผมถ่ายภาพเสร็จ น้องหนึ่ง(ไกด์ตัวน้อย) ก็กระทืบเท้า เพื่อไล่เจ้ากิ้งกือมังกรสีชมพูนี้ทันที
ผมถามว่าไล่มันทำไม น้องหนึ่ง บอกว่า ต้องไล่มันให้พ้นทางครับ เพราะว่ามันอาจจะโดนนักท่องเที่ยวเหยียบได้
ไอยะห์!! เด็กรุ่นนี้ยังคิดได้ขนาดนี้ ผมล่ะประทับใจจริงๆ
น้องหนึ่งพาผมเดินต่อไปสักแป๊บ ก็จะเจอทางเข้าหุบป่าตาดอีกห้องนึง
แหมเห็นแล้วนึกถึงหนังเรื่อง จูราสสิค พาร์ค เลยล่ะ
ในหุบป่าตาดจะมีพันธุ์ไม้โบราณหลายๆ อย่าง อันนี้เป็นเถาวัลย์ที่ตัดแล้วสามารถดื่มน้ำได้ (เคยเห็นในหนังกันไม๊)
แต่ในหุบป่าตาด เค้าห้ามตัดทดลองนะครับ
ส่วนต้นนี้ชื่อว่า “ปอหูช้าง” ใบมันจะคล้ายๆ หูช้าง ลักษณะพิเศษคือ มันจะงอกบนหิน ไม่งอกบนดิน
อะดูครับว่าใบมันใหญ่แค่ไหน น้องหนึ่งไกด์ตัวน้อยของผม ยินดีเป็นแบบให้
(ทีแรกก็ยิ้มอยู่นะ พอผมบอกให้ทำหน้าหล่อ ดันเกร็งซะงั้น อิอิ)
ในหุบป่าตาดนี้ก็ยังเป็นแหล่งพันธุกรรมของพืชหายากหลายอย่างด้วยนะครับ
หากเราไปเที่ยวที่นี่ ก็จะเห็นเมล็ดพันธุ์ต่างๆ บนดินเยอะมาก
ที่หุบป่าตาดผมถ่ายภาพน้อยมาก เพราะเพลินกับการเดินชมและฟังคำอธิบายก็น้องหนึ่ง
หุบป่าตาด เป็นสถานที่ที่ถูกค้นพบที่น่าสนใจ และมีพันธุ์ไม้โบราณให้เราศึกษา
ถึงแม้หุบป่าตาด จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่สวยงาม แต่ก็มีดีพอที่จะเป็น Unseen Thailand
ถ้าใครพลาดมาชมที่นี่ ถือว่าท่านยังมาไม่ถึงอุทัยธานี ก็ว่าได้นะ
ออกจากหุบป่าตาด เลี้ยวขวาไปก็เป็นเส้นทางไปเขาปลาร้าครับ
เขาปลาร้าเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญ ที่มีการค้นพบภาพเขียนสี ก่อนประวัติศาสตร์ แต่ต้องใช้เวลาเดินเท้านานพอสมควร ผมเลยเก็บเขาปลาร้าไว้สำหรับทริปอุทัยธานีคราวหน้า
และจะพกส้มตำไปกินกับปลาร้าด้วย (มุขไม่ฮา พาให้เครียด อีกล่ะ)
ออกจากหุบป่าตาด ผมแวะกราบไหว้หลวงพ่อทองหยด ที่วัดถ้ำทอง ซึ่งอยู่ติดกับหุบป่าตาดนั่นแหละครับ
จากข้อมูลหลวงพ่อทองหยด นี่แหละครับ ที่เป็นผู้คนพบ หุบป่าตาดคนแรก ขอพรหลวงพ่อกันเสร็จ
ผมก็เดินทางกลับที่พัก ห้วยขาแข้งคันทรีโฮมรีสอร์ท
มื้อเย็นของผมวันนี้ เรียบง่าย แต่ถูกปาก ตามสไตล์ คันทรีโฮมรีสอร์ท
แต่ที่ถูกใจคือส้มโอเมืองอุทัยนี่แหละ ถูกใจคนชอบผักและผลไม้อย่างผมเลยล่ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันนี้เป็นวันสุดท้าย ของทริป 3 วัน 2 คืนของผม
เลยตื่นแต่เช้าหน่อย และทางรีสอร์ทแจ้งว่าจะมีพระมาบิณฑบาตรที่รีสอร์ทด้วย
ซึ่งทาง ห้วยขาแข้งคันทรีโฮม รีสอร์ท จะเตรียมสถานที่ และชุดตักบาตร พร้อมให้บริการแขกที่เข้าพักอยู่แล้วครับ
มาอุทัยธานีไม่ได้ตักบาตรเทโว ก็ตักบาตรธรรดาไปก่อนก็แล้วกัน รีสอร์ทนี้เค้าจัดให้ อิอิ
ผมเองก็ไม่ได้ตักบาตรมานานล่ะ วันนี้ก็ถือเป็นโอกาสอันดี เพราะอยู่ กทม. ไม่เคยตื่นทันพระสักที
ภาพเด็กๆ ตักบาตร เป็นภาพที่น่ารักดีครับ ผมชอบ โชคดีที่บ้านเมืองเรายังมีภาพแบบนี้ให้เห็นอยู่เยอะ
เสร็จแล้วก็รับศีลรับพร ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวกันต่อ
หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ เราไปเดินชมห้วยขาแข้งคันทรีโฮมรีสอร์ท หน่อยดีกว่า มาพักสองคืนล่ะ ยังเดินไม่ทั่วรีสอร์ทนี้เลย
บริเวณนี้เป็นครัว หรือห้องอาหารของรีสอร์ท ซึ่งจะอยู่ด้านหน้าเลย
ส่วนนี้เป็นส่วนร้านค้า และที่สำรองห้องพัก วันนี้อากาศดีแต่เช้า สดชื่นดีจัง
หากเราสังเกตุจะเห็นว่าห้วยขาแข้งคันทรีโฮม จะรายล้อมไปด้วยต้นไม้ สมชื่อห้วยขาแข้งเค้าล่ะ
รีสอร์ทมีบริเวณกว้างพอสมควร แต่ก็มีจักรยานให้ปั่นเล่นได้ครับ (อันนี้ผมชอบ)
บ้านพักรู้สึกเค้าจะมีหลายแบบนะ และจะมีห้องสัมนา หรือห้องประชุม อยู่ด้วย รายละเอียดห้องพักนั้น
แนะนำให้ไปดูที่ www.countryhomeresort.com โดยตรงนะครับ
ห้องพักทุกห้องรถยนต์สามารถจอดหน้าบ้านได้หมด ถนนจะตัดถึงกันหมด นะครับ
แหม มันร่มรื่นเอาเป็นว่าตอนเที่ยง หรือบ่ายๆ ยังไม่ร้อนเลย
บ้านพักบางหลังนั้นสามารถพักได้เป็น 10 ท่าน แถมมีลานกิจกรรมหน้าบ้านพักให้อีกด้วย
หลังนี้ชื่อ บ้านเคียงธาร อยู่ติดลำธาร เป็นหลังที่ผมพักครับ
หากเดินข้ามลำธารไป ก็จะเป็นสถานปฏิบัติธรรมของรีสอร์ท ผู้เข้าพักที่ห้วยขาแข้งคันทรีโฮม สามารถใช้สถานที่ได้ทุกท่านนะครับ
เฮ้ออ ห้องพักวิวแจ่มๆ อากาศดีๆ แบบนี้ นึกแล้ว อยากอยู่ต่ออีกวัน ไม่อยากกลับกรุงเทพเลยยยยย
ป่ะ เราไปดูในบ้านเคียงธารกันดีกว่า ว่ามีอะไรบ้าง
ห้องพักที่นี่เค้าเน้นเรียบง่าย และสะอาดเป็นหลักครับ ตามไสตล์ คันทรีโฮม (อันนี้ผมคิดเอง 55)
และแน่นอนครับ ไม่ว่าห้องพักหรือบ้านพักหลังไหน มองออกไปท่านจะเจอแต่สีเขียวๆ ของต้นไม้
บ้านเคียงธารที่ผมพักนั้น มีห้องนั่งเล่นติดริมธารด้วยครับ เอาไว้นั่งฟังเสียงน้ำไหลเนาะ (เสียงน้ำนี่แหละที่พาผมหลับจากบ่ายยันมืด)
ส่วนทีวีนั้นใช้จานรับสัญญาณ เพราะรู้สึกว่าสัญญาณทั่วไปจะไม่มี แต่สัญญาณโทรศัพท์มีนะครับ
ทริปนี้ผมถ่ายภาพห้องพักและบริเวณรีสอร์ทน้อยไปนิด เนื่องจากห้องพักส่วนใหญ่นั้นมีแขกเข้าพัก
ผมออกจากห้วยขาแข้งคันทรีโฮมรีสอร์ท สายๆ หน่อย วันนี้มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองอุทัยธานีกันครับ
สถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองอุทัยนั้น จะใกล้กันหมด และจะมีป้ายบอกทางชัดเจนมากครับ
ผมขับรถเลาะริมแม่น้ำสะแกกรัง ข้ามสะพาน เลี้ยวซ้ายไปตามป้าย ทางเข้าจะเจอบรรยากาศประมาณนี้
ขับไปเรื่อยๆ จะมีป้ายบอก ใช่ครับ เป้าหมายของผมคือ วัดโบสถ์ หรือ วัดอุโบสถาราม
ผมไปถึงวัดโบสถ์แล้วถึงกับตกใจครับ วันที่ผมไปวันหยุดแท้ๆ แต่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย
มีผมคนเดียวเลยจริงๆ เอ๊ะ ..หรือว่าเขากลับกันหมดแล้ว..
วัดโบสถ์ เป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง อยู่คนละฝั่งกับตัวเทศบาลเมือง
มณฑปแปดเหลี่ยม เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระว่างไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตก มีบันไดขึ้นไปได้นะครับ
แต่ข้างในนั้นรู้สึกจะล็อค
ด้านนอกของมณฑปนั้น จะมีพระพุทธรูปนูนสูง หันหน้าไปทางโบสถ์ เป็นการผสมผสานที่ลงตัวจริงๆ ครับ
เราไปดูในโบสถ์กันบ้างครับ ข้างในจะเป็นภาพเขียนสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้อน เรียกได้ว่าสภาพนั้นยังดั้งเดิมอยู่เลย
พระพุทธรูปที่อยู่ในโบสถ์ ก็เก่าแก่เช่นกันนะครับ มาถึงอุทัยธานีทั้งที ก็อย่าลืมขอพรหลวงพ่อท่านล่ะครับ
กราบลาหลวงพ่อ วัดโบถส์กันแล้ว เดี๋ยวเราไปเดินดูรอบๆ กันหน่อยดีกว่า ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
ฝั่งตรงข้ามวัดโบถส์นั้นเป็นตัวเทศบาลเมือง ซึ่งทุกคืนวันเสาร์ จะมีถนนคนเดิน ตรอกโรงยา เซ็กเกี๋ยกั้ง นะครับ
คืนวันเสาร์ผมอยู่ที่อำเภอบ้านไร่ เลยพลาดที่นี่ไป แต่ไม่เป็นไรยกยอดไว้ทริปหน้า แหะๆ
เราสามารถข้ามไปยังวัดโบสถ์ได้จากฝั่งตัวเทศบาลได้เช่นกันครับ แต่รถยนต์ผ่านไม่ได้นะ
หากเราข้ามสะพานจากฝั่งเทศบาลวัดโบสถ์จะอยู่ฝั่งซ้าย
และฝั่งขวานั้นจะเป็นเรือนแพริมแม่น้ำสะแกกรัง
วิถีชีวิตชาวแพลุ่มน้ำสะแกกรังนั้น ถือว่าเป็นวิถีที่ผูกพันกับสายน้ำมายาวนาน
แต่ทุกวันนี้มีให้เห็นน้อยลงแล้ว คิดแล้วน่าใจหาย
ผมยืนถ่ายภาพอยู่คนเดียวบนสะพาน สักพัก มีป้าคนนึงเดินผ่านมา พร้อมทั้งยื่นน้ำให้ขวดนึง โดยไม่พูดอะไร
มีแต่รอยยิ้มให้ผมเท่านั้น ขอบคุณคุณป้ามากๆ ครับ บอกแล้วไงว่าชาวอุทัยน่ารักทุกคน
มีเรือบริการพาชมวิถีชีวิตของชาวแพลุ่มน้ำแม่น้ำสะแกกรังด้วยนะครับ แต่ผมไม่ได้ใช้บริการนี้
แม้ตอนนี้แดดจะร้อนเปรี้ยง แต่ทิวทัศน์เมืองนี้ก็ยังตรึงให้ผมยืนอยู่ได้ โดยลืมร้อนไปเลย
มองไปทางไหน ก็ดูเรียบง่าย ไร้ซึ่งความวุ่นวาย ผมชอบเมืองนี้ซะจริงๆ ซะแล้วสิ
เอาล่ะ ผมยังมีแหล่งเท่องเที่ยวที่อื่นรออยู่ เดี๋ยวเราไปต่อกันเลยครับ
สถานที่ต่อไปที่ผมจะไปคือ สถานที่ที่หลายคนคุ้นตากันดี ถ้าพูดถึงอุทัยธานี ใช่ครับ วัดสังกัสรัตนคีรี
ลงจากรถปุ๊บเจอบันไดชันๆ แบบนี้ ผมบอกกับตัวเองเลยครับ ว่ายังไงต้องไปให้ถึงยอดให้ได้
ครับ ผมหันหลังกลับไปขึ้นรถ แล้วขับขึ้นไปทางสนามกีฬา ในที่สุดผมก็มาถึงแล้วล่ะ (ให้เดินขึ้นคงไม่ไหว อิอิ)
ผมมาถึงที่วัดสังกัสรัตนคีรี บ่ายแก่ๆ แล้ว ถึงแม้แดดจะร้อน แต่ข้างบนนี้ลมพัดเย็นๆ สบายๆ
บนยอดเขาสะแกกรังนี้เราสามารถมองเห็นวิวเมืองอุทัยได้เต็มๆ
จะเห็นได้เลยว่าตัวเมืองอุทัยนั้นไม่ได้กว้างเท่าไหร่เลย
หลวงพี่รูปนี้เดินขึ้นมาทางบันไดเมื่อตะกี๊ด้วยล่ะครับ หลวงพี่ท่านไม่หอบเลยแฮะ แสดงว่าขึ้นประจำ
ส่วนผมนานๆ มาที ขอขึ้นทางรถก่อนนะครับ คราวหน้าจะเดินขึ้นมั่ง แหะๆ
ผมนั่งรับลมเย็นๆ จนเกือบหลับ นึกขึ้นได้ว่าต้องไปเที่ยวอีกที่นึง เอาล่ะกราบลาพระแล้ว
เราไปที่สุดท้ายของทริปนี้กันเลยครับ
ช่วงที่ผมไปอุทัยธานีนั้นเป็นวันหยุดยาว 3 วัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าคนจะเยอะแค่ไหน ที่วัดท่าซุง
เอาเป็นว่าผมต้องไปจอดรถสุดวัดเลยครับ และต้องนั่งสกายแล็ปคันนี้กลับมาที่วัด
ค่าบริการนั้นคุณพี่ท่านนี้คิด 20 บาท ก้อดีครับ ได้นั่งรถชมบรรยากาศไปด้วย อิอิ
อันที่จริงก็มีรถรางแบบนี้บริการนะครับ เที่่ยวละ 2 บาท แต่ผมไม่อยากรอเพราะเริ่มเย็นแล้ว
วิหารแก้ว100 เมตร เป็นวิหารที่ภายในสร้างด้วยโมเสกสีขาว
เราเลยมองเห็นว่าใสๆ เหมือนกระจก วันนี้คนมาทำบุญเยอะมาก ถึงมากที่สุด
วิหารแก้วนี้เป็นสถานที่เก็บสังขารของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่ไม่เน่าเปื่อยในโลงแก้ว
นี่ก็เป็นอีกสถานที่นึง ที่หากว่ามาอุทัยธานีแล้ว พลาดไม่ได้จริงๆ
ในวิหารแก้วนั้น สภาพแสงจะทึบๆ หน่อยครับ หากท่านใดต้องการไปถ่ายภาพ ก็พกขาตั้งกล้องไปด้วยก็ดี
อ้อ เกือบลืมไป วิหารแก้วจะเปิดให้ชมสองรอบนะครับ คือ 9.00-11.45 น .และ 14.00-16.00 น.
ใครจะไปก็วางแผนกันหน่อยก็ดีนะ
วันนี้คนเยอะเต็มวิหาร อย่าว่าแต่จะถ่ายภาพเลยครับ แม้แต่เดินยังลำบากกันเลยล่ะ
ผมเองก็เก็บภาพมาได้ไม่เยอะเท่าไหร่
ผมออกจากวิหารแก้วแล้ว ใช้บริการเจ้าคันนี้ไปยังปราสาททองคำซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน
ตอนนี้ใกล้เวลาทำวัตรเย็น ของคนที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่กันแล้วครับ
เดินต่อไปจากจุดสุดท้ายที่รถจอด เจอล่ะครับ ปราสาททองคำ
ปราสาทนี้สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวง ในวาระที่ทรงครอบราชครบ 50 ปี
สีนั้นเหลืองอร่ามสวยมากๆ เลยครับ
ตอนนี้ในวัดท่าซุง ไม่มีนักท่องเที่ยวเหลืออยู่เลย เพราะเย็นมากแล้ว
ผู้มาปฏิบัติธรรมหลายๆ ท่านเริ่มทยอยไปทำวัตรเย็นกันแล้ว พี่ท่านนี้ยิ้มจริงใจมากเลย เห็นฟันขาวใสทีเดียว อิอิ
ตอนผมมาถึงที่นี่ผู้คนนั้นพลุกพล่านเรียกว่า วุ่นวายเลยล่ะ แต่พอตกเย็น เชื่อไหมครับ
ว่าวัดมันเงียบซะจนเวิ้งว้างเลยล่ะ
วันนี้ผมต้องกลับกรุงเทพ อันที่จริงก็กลัวจะค่ำอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความงดงามของปราสาททองคำ
ยังไงก็ต้องอยู่ต่ออีกหน่อย ใช่ว่าจะมาอุทัยธานีบ่อยที่ไหนเนาะ
ประตูรอบๆ ของปราสาททองคำนั้น จะเป็นรูปรุกขเทวดา สีทองสวยงามมากครับ
ตอนนี้เย็นเต็มทีแสงสุดท้ายส่องกระทบกับประตูสีทอง สะท้อนลงพื้นสวยเอามากๆ
สักพักผมได้ยินเค้าสวดทำวัตรเย็นกัน เอาล่ะผมคิดว่าคงหมดเวลาของผมที่วัดท่าซุงแล้วล่ะ
วันนี้เรียกว่าเที่ยวกันยันเช้าจรดเย็นเลย ขากลับออกจากวัดท่าซุงเย็นพลบค่ำพอดี
พระอาทิตย์ตกที่วัดท่าซุง เหมือนเป็นการบอกว่า ผมหมดเวลาแล้วสำหรับทริปอุทัยธานี
หากใครไปทริปอุทัยธานี 3 วัน 2 คืน
**ผมแนะนำให้พักที่ตัวเมืองคืนนึง เป็นไปได้ให้พักตรงคืนวันเสาร์ครับ
เพราะจะได้เดินเล่นที่ถนนคนเดินตรอกโรงยาด้วย
**ตื่นเช้ามาก็เที่ยว วัดท่าซุง วัดโบสถ์ วัดสังกัสรัตนคีรี ชมวิวและสัมผัสวิถีชิวิตของชาวแพที่แม่น้ำสะแกกรัง
หาอาหารอร่อยๆ ริมแม่น้ำสะแกกรังทาน
**ตกบ่ายหรือเย็น ก็ให้มุ่งหน้าสู่อำเภอบ้านไร่ หาที่พักอีกคืนนึงโดยไม่ต้องรีบร้อน
**ตื่นเช้ามาก็เที่ยว หุบป่าตาด ห้วยขาแข้ง วัดถ้ำเขาวง ถ้ำพุหวาย วัดผาทั่ง น้ำตกไซเบอร์ น้ำพุร้อนสมทอง
อ่างเก็บน้ำห้วยขุนแก้ว อ่างเก็บน้ำทับเสลา ถ้ำพระยาพายเรือ ถ้ำเขาฆ้องชัย
**หรืออาจจะสลับกัน โดยไปเที่ยวและพักที่อำเภอบ้านไร่ก่อน แล้วค่อยไปเที่ยวตัวเมือง ตามความเหมาะสม
หากใครไปทริปอุทัยธานี 2 วัน 1 คืน
**หากต้องการเดินเที่ยวถนนคนเดินที่ตรอกโรงยา แนะนำให้หาทีพักคืนวันเสาร์ในเมือง คืนนึงก่อน
**เช้ามาก็เที่ยว วัดท่าซุง วัดโบสถ์ วัดสังกัสรัตนคีรี ชมวิวและสัมผัสวิถีชิวิตของชาวแพที่แม่น้ำสะแกกรัง
**จากนั้นก็ขับรถไปอำเภอบ้านไร่ เที่ยวหุบป่าตาด วัดถ้ำเขาวง และที่เที่ยวอื่นๆ ตามความเหมาสมของเวลาครับ
**หรืออาจจะสลับกัน โดยไปเที่ยวและพักที่อำเภอบ้านไร่ก่อน แล้วค่อยไปเที่ยวตัวเมือง ตามความเหมาะสมของเวลา
แต่ผมแนะนำให้ไปเที่ยวทริป 3 วัน 2 คืนนะครับจะได้เที่ยวเยอะๆ แบบเคลียร์อุทัยธานีไปเลย
แต่หากใครมีเวลา 4 วัน ก็อย่าลืมไปเที่ยวเขาปลาร้าด้วยล่ะครับ ผมเองยังต้องไปอีกรอบ เพราะติดใจอุทัยธานีซะแล้วล่ะ
ใครๆ ก็บอกว่าอุทัยธานี เมืองนี้ไม่มีอะไร รีวิวนี้ก็พอจะบอกได้นะครับ ว่าอุทัยธานีนั้นมีดีพอให้เราไปเที่ยว ไปค้นหาประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ๆ กับ Unseen Thailand ไปสูดอากาศบริสุทธิ์(สุดยอด) ที่ห้วยขาแข้ง ไปชมวิวข้างทางสวยๆ สีเขียวๆ ตลอดทาง แถมอากาศช่วงต้นปีก็หนาวกะลังดี ไปไหว้พระทำบุญที่วัดเก่าแก่อย่างวัดโบสถ์ วัดสังกัสรัตนคีรี และวิหารแก้ว ปราสาทองคำ ที่วัดท่าซุง ไปสัมผัสวิธีชีวิตดั้งเดิมของชาวเรือนแพที่แม่น้ำสะแกกรัง แหล่งท่องเที่ยวมากมายที่อำเภอบ้านไร่ ….
ถึงตอนนี้..คุณพร้อมที่จะรู้จัก อุทัยธานี ด้วยตัวคุณเองหรือยัง?..
ขอบคุณที่ติดตาม ขอบคุณมากมาย ขอบคุณอย่างแรง…
…นายหัว…
อุปกรณ์ที่ใช้:
กล้อง Olympus OMD-EM5
เลนส์ Zuiko 12-50 F3.5-6.3