อ่าวพังงา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่นึงที่น่าสนใจ ธรรมชาติของเกาะนี้จะเป็นแนวภูเขากลางทะเล มีน้ำทะเลที่ใสสะอาด และอุดมสมบูรณ์ การท่องเที่ยวบริเวณอ่าวพังงา จะเป็นการท่องเที่ยวโดยเรือแคนูเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากสามารถพายเข้าไปชมความสวยงามของเกาะ แก่ง หรือถ้ำต่างๆ ได้อย่างใกล้ชิด ดังนั้นกิจกรรมจำพวกการดำน้ำ จะไม่สามารถทำได้ที่อ่าวนี้
โดยภายในอ่าวพังงาจะมีเกาะที่เป็นสมาชิก คือ เกาะนาคา เกาะลาวา เกาะพนัก เกาะห้อง (ไม่ใช่เกาะห้องที่กระบี่นะ) เกาะเจมส์บอนด์ (เขาตะปู) และเกาะปันหยี ตามรูปแผนที่ด้านล่างครับ
ทริปนี้ผมยังใช้ภูเก็ตเป็นฐานที่มั่นในการเที่ยวเหมือนเดิม เหมือนกับทริปเกาะตาชัยที่ผ่านมา โดยคราวนี้ผมขึ้นเรือที่ท่าเรืออ่าวปอ ภูเก็ต ใช้เวลาเดินทางจากในตัวเมืองไปยังท่าเรือเร็วซะจนผมคิดว่าคนขับรถล้อเล่นเลยล่ะ ส่วนการเดินทางไปจากท่าเรืออ่าวปอไปอ่าวพังงาใช้เวลา 45 นาที สำหรับเรือใหญ่สองชั้น
เราสามารถเลือกได้ครับว่าจะนั่ง speed boat หรือเรือสองชั้น ถ้า speed boat เค้าจะแวะเกาะปันหยีด้วย แต่ราคาก็เพิ่มขึ้นด้วยนะ ผมเลือกนั่งเรือใหญ่สองชั้นดีกว่า เพราะอะไรน่ะเหรอ เดี๋ยวก็รู้
เรือใหญ่บรรทุกผู้โดยสารแค่ชั้นบนนะครับ ชั้นล่างนั้นเค้าบรรทุกเรือแคนู ดังนั้นจำนวนผู้โดยสารต่อเที่ยวน้อยมากไม่แออัด แต่ประเด็นสำคัญคือ วิวข้างทางไปอ่าวพังงานั้นสวยมาก
ถ้าอยากนั่งสบายๆ พร้อมชมวิวชิลๆ ล่ะก็ต้องเลือกเรือใหญ่เท่านั้น
อย่างที่ผมเกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นว่า อ่าวพังงามีลักษณะเป็นเกาะภูเขา ดังนั้นสองขางทางนั้นจะมีวิวให้เราชมแบบนี้ตลอดทางเลย
ถ้านึกถึงทะเลเราจะมโนภาพถึงน้ำสีฟ้าท้องฟ้าสีคราม แต่สำหรับอ่าวพังงา เราจะเจอแต่น้ำและภูเขาสีเขียวแบบนี้แหละ
45 นาทีสำหรับการนั่งเรือ ผมบอกเลยว่ามันเร็วไปนะเจอวิวสวยลมเย็นๆ แบบว่าอยากนั่งไปเรื่อยๆ เลยอ่ะ
แต่ก็นะมันจะชิลเกินไปก็ไม่ได้ คนอื่นเค้าไม่คิดแบบเรา อิอิ เอาล่ะเรามาถึงจุดพายแคนูจุดแรกกันแล้ว และที่นี่คือ เกาะพนัก นั่นเอง
การพายแคนูบางที่เราต้องพายเอง แต่ที่นี่เค้ามีฝีพายให้ครับ เนื่องจากเส้นทางนั้นไม่ได้เรียบง่ายนัก ต้องอาศัยฝีพายที่มีฝีมือและประสบการณ์เท่านั้น
เรือลำหนึ่ง รับผู้โดยสารได้ถึง 4 คนแน่ะ อย่างที่บอกผมมาทริปที่ไม่ค่อยแออัดนัก ผมเลยได้นั่งคนเดียวสบายใจเฉิบ อิอิ
มิหนำซ้ำยังเป็นคนแรกที่มุดเข้าถ้ำซะด้วย ไอยะ !! รู้สึกวีไอพีนะเนี่ยเรา
พอเข้าปั๊บผมนึกถึงถ้ำเลเขากอบที่ตรังเลยล่ะ อารมณ์เดียวกันเลย แต่ที่นี่ถ้ำไม่แคบแบบถ้ำเลเขากอบนะ แต่ก็พอได้เสียวบ้างล่ะ
ถ้ำจะไม่ยาวมากครับ ไม่ต้องกลัว นั่งแป๊บๆ ก็เจอทางออกแล้วล่ะ ฝีพายเค้ามืออาชีพนั่งสบายจริงๆ ขอบอก
ระหว่างทางก็มีหินงอกหินย้อยเยอะเหมือนกันนะ ฝีพายจะเป็นคนคอยชี้ให้ดูว่าจุดไหนบ้างที่สวยๆ ใครจะถ่ายรูปก็เตรียมกล้องถ่ายในที่มืดไว้ให้ดีล่ะ
นั่นไงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ขอบอกว่าวันนี้ผมเป็นคนแรกที่ลอดอุโมงค์นี้เลยนะ ตื่นเต้นๆ
(เว่อร์เนาะ)
โผล่ออกมาผมถึงกับอึ้ง!!! มันเหมือนโผล่มาอีกโลกนึงเลยครับ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงใดๆ นอกจากเสียงนกเสียงไม้ และไม้พายที่กระทบกับน้ำเท่านั้น
สถานที่แบบนี้ใช่ว่าจะมาได้ทุกวันนะ ขึ้นอยู่กับระดับน้ำขึ้นลงที่ปากถ้ำด้วยว่าสามารถเข้าได้หรือไม่ น้องฝีพายบอกว่าที่นี่เค้าเรียกว่า “ถ้ำไดมอนด์”
แอ่งน้ำที่มีภูเขาล้อมรอบอยู่กลางทะเล หรือที่เราเรียกว่า “ลากูน” นั้นจะมีอีกหลายๆ ลากูนอยู่ด้านในครับ ซึ่งเค้าจะพายพาไปดูทุกจุดที่เข้าได้
ผมมัวแต่ชมวิวงามๆ อย่างเพลิดเพลิน โดนเพื่อนร่วมทริปอีกกลุ่มแซงไปซะล่ะ งั้นเราตามเค้าไปกันเลยดีกว่า
ทางข้างหน้าดูเหมือนจะไปไม่ได้นะ แต่ฝีพายเค้าก็พาเราเข้าไปจนได้ ถ้าให้ผมพายเอง..สงสัยคงได้ยกเรือข้ามไปแน่ๆ เลย
ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ ยิ่งเงียบ แต่ไม่น่ากลัวนะครับ แต่กลับยิ่งสวยขึ้นต่างหาก
ในนี้จะมีหลายๆ ลากูนครับ ฝีพายจะพายตามกันไป เข้าไปเฉพาะจุดที่เข้าได้นะ จุดไหนเข้าไม่ได้ก็ได้แต่ชะเง้อคอชมล่ะนะ
เหลียวมองไปด้านหลังมีเพื่อนร่วมทริปทะยอยตามกันมาเรื่อยๆ แบบเงียบๆ โชคดีที่ทริปผมไม่มีนักท่องเที่ยวชาติโฉ่งฉ่างไม่งั้นเสียบรรยกาศแย่เลยว่ามะ
อ้อ..ทีสำคัญเค้าไม่ให้ลงไปเล่นน้ำนะ เพราะข้างล่างเป็นหิน ทำได้แค่นั่งชมวิว ถ่ายภาพบนเรือนะจ้ะ บอกไว้ก่อน
ใครจะนอนจะนั่งท่าไหน ก็ตามสบายเลยนะ
เมื่อฝีพายพาเราชมทุกที่ที่สามารถเข้าไปได้แล้ว เค้าก็จะพาวนออกทางเดิมครับ
เอาล่ะ ขาออกไม่เหมือนขาเข้าแล้วครับ เพราะตอนนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวทะยอยกันมาเยอะขึ้น ต้องรอคิวให้เค้าเข้ามาก่อน
ทีนี้ความมันส์ก็บังเกิดสิครับ เรือชนกันบ้างไรบ้าง แต่ไม่ต้องกังวลนะ มันเป็นเรือยางชนแล้วเด้งดึ๋ง หนุกไปอีกแบบ
เอาล่ะผมกำลังจะออกจากอุโมงค์ล่ะ ดูคิวเรือที่รอสิครับ โชคดีจริงที่เข้าไปก่อน อิอิ
พอออกมาจากถ้ำฝีพายจะพาเราทัวร์ชมรอบๆ อีกนิดหน่อยครับ เรียกได้ว่ามากันแล้วก็ชมกันให้ครบเลยล่ะกัน
ถ้าออกจากถ้ำมาแล้ว ใครอยากจะพายเอง หรืออยากหัดพาย ก็บอกเค้าได้เลยนะ ฝีพายจะช่วยประคองให้จนไปถึงเรือครับ
ไม่จำเป็นต้องกลับไปที่เรือใหญ่เลยนะ เราสามารถพายวนไปวนมาแถวนั้นได้ หรือจะให้เค้าพายพาไปตรงจุดไหนก็ได้ครับ รอจนกว่าสมาชิกจนครบนั่นแหละ ถึงจะขึ้นเรือใหญ่
แต่ก่อนจะขึ้นเรือจะมีชายหาดอยู่ข้างๆ ปากถ้ำ ฝีพายจะพาเราไปพักถ่ายภาพตรงจุดนี้ก่อน
ก่อนขึ้นเรือผมเองก็ขอซ้อมมือหน่อยล่ะกัน แต่ว่าพายยังไงๆ มันก็จะเข้าถ้ำอย่างเดียวเลยวุ้ย จนน้องฝีพายบอก “พี่..จะเข้าไปอีกรอบเหรอ”
บอกเลยว่าไม่ได้พายนาน ..มันเหนื่อยสุดๆ ไม่ไหว เลยกลับเข้าเรือใหญ่ดีกว่า อิอิ
เออ..วิวบนเรือมันก็สวยดีแฮะ รู้งี้พายกลับมาตั้งนานล่ะ เล่นเอาเหนื่อยเลย
ฝรั่งสองคนนี้เหมือนดาราเรื่อง แฮ้งท์โอเวอร์เลยแฮะ ที่สำคัญรู้สึกมันจะแฮงค์กันทั้งทริปเลยนะ 55+
บนเรือเค้ามีน้ำดื่ม ผลไม้ น้ำอัดลม ให้ดื่มแก้เหนื่อยกันนะ หลังจากนั้น เรามุ่งหน้าไปจุดต่อไปเลย นั่นคือ “เกาะห้อง”
เกาะห้องทริปผมคราวนี้ ไม่ใช่เกาะห้องที่กระบี่นะครับ แต่เป็นเกาะห้องพังงา ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเกาะปันหยี และเขาตะปูนั่นเอง
ผมมาเรือใหญ่ เพราะงั้นเราก็ต้องจอดเรือตรงนี้ครับ เพราะด้านหน้าเป็นช่องแคบ ถ้าเรือใหญ่วิ่งจะมีคลื่นทำให้ พายเรือลำบาก
วันนี้อากาศดีจริงๆ ครับ มีแดดแต่ไม่ร้อนนะ แสงอุ่นๆ แบบนี้เหมาะกับการออกกำลังกายพายเรือจริงๆ (พูดเหมือนพายเอง อิอิ)
เอาล่ะเดี๋ยวเราจะเลาะไปทางซ้ายครับ เข้าถ้ำ แล้วออก เข้าแล้วออก จนสุดปลายทางที่เห็นไกลๆ น่ะ
วิวของอีกฝั่งครับ ถ้าเรือลำใหญ่ก็ต้องจอดไกลๆ แบบนี้ล่ะ เพราะที่ที่เราจะเข้าไปน้ำตื้นครับ
จุดท่องเที่ยวจุดที่สองนี้ นักท่องเที่ยวเยอะขึ้นครับ เพราะเริ่มสายแล้ว แต่สนุกดีครับ เพราะฝีพายเค้าพายกันเป็นระเบียบ มีการเข้าคิวก่อนหลัง
จุดนี้จะมีหาดทรายแคบๆ ให้นักท่องเที่ยวลงไปถ่ายภาพได้
สังเกตุดีๆ ครับหินข้างหลังจะมีลักษณะเป็นรูปปลา ถ้าลงไปมองบนหาดทรายจะเห็นชัดกว่านี้ แต่ผมไม่ได้ลงไปนะ คนมันเยอะ เลยขอไปจุดอื่นต่อเลย
ลานที่เห็นนี้เวลาน้ำลง จะเป็นลานทรายเลยครับ น้องฝีพายบอกว่า เล่นฟุตบอลได้เลยล่ะ
ข้างๆ ลานนี้จะมีหินที่มีลักษณะคล้ายช้าง อืมอันนี้เหมือนจริงครับ
ฝีพายเค้าจะใช้ลานนี้เป็นที่พักเรือเพื่อรอคิวเข้าไปชมถ้ำ และลากูนด้านใน ถ้าคนเยอะนี่รอนานใช้ได้เลยนะ
และตรงจุดนี้ก็จะมีแลนมาร์คอย่างนึง ก็คือเขาตะปู2 ซึ่งสถานที่ตรงนี้เคยใช้ถ่ายทำหนังเจมส์บอนด์ เค้าเลยเรียกว่า เกาะหรือเขาเจมส์บอนด์
เอาล่ะถึงคิวผมซักที ไปดูกันเลยว่าด้านในมีอะไร
ด้านในถ้ำมีหินย้อยเยอะมากครับ แต่อาจจะไม่มีหินที่เป็นกากเพชรนะครับ อาจเป็นเพราะแสงส่องถึง
เส้นทางก็จะคล้ายๆ กับจุดแรกที่เกาะพนัก เรืองแล่นได้ที่ละลำ เพราะงั้นต้องรอคิวกันนิดนึง
เอาล่ะใกล้ถึงแล้ว
ส่วนนี้จะเป็นลากูนเหมือนกันครับ กว้างพอสมควร แต่เสียดายตรงนี้น้ำลงเยอะครับ เราเลยเข้าไปด้านในต่อไม่ได้
เดี๋ยวเราออกกลับไปถ่ายรูปที่เขาตะปู2 แบบใกล้ๆ ดีกว่าเนาะ
ไอยะ เข้าถ้ำไปแป๊บเดียว กลับออกมานี่ เรือพรึ่บเลย อิอิ
ป่ะ งั้นเราไปชมจุดต่อไปกันต่อ
จุดต่อไปเราจะย้อนกลับทางเดิมตรงชาดหาดก่อนครับ แล้วก็เลี้ยวขวาไปอีกฝั่ง
จุดนี้ผมถือว่าเป็นไฮไลท์เลยครับ สีน้ำทะเลสะท้อนขึ้นไปบนผิวถ้ำ สวยมากๆ
ลักษณะจะเป็นถ้ำที่มีช่องด้านบน พอแสงส่องลงมา สีน้ำทะเลจะไปกระทบกับหิน เลยเป็นสีแบบนี้ ธรรมชาติช่างสรรค์สร้างจริงๆ
โดยถ้ำนี้จะมีชื่อว่า “ถ้ำฮันนีมูนลิง” เนื่องจากด้านบนเป็นถ้ำที่มีลิงอาศัยอยู่
แต่ผมพยายามมองดูก็ไม่เจอลิงนะ สงสัยคนเยอะ คงตกใจหลบไปแล้วล่ะม้างงง
ผมบอกให้ฝีพาย พายวนไปวนมาอยู่หลายรอบ เพราะตากแดดมาร้อนๆ มาเจออากาศเย็นๆ ตรงนี้หายเหนื่อยเลยล่ะ
เอาล่ะครับ ได้เวลากลับขึ้นเรือกันแล้ว แหมอยากอยู่นานๆ จัง
ทีแรกยังไม่ค่อยอยากกลับ แต่พอฝีพายบอกว่าถึงเวลากินข้าวเที่ยงแล้ว แค่นั้นแหละ ผมบอกให้น้องฝีพายพายเร็วๆ เลย อิอิ
จัดเต็มครับ สำหรับมื้อเที่ยง กินกันจนอิ่มนั่นแหละ
แต่ผมชอบข้าวผัดซอสเป็นพิเศษ เบิ้ลไปสองจานเลย
ถ้าหากเราเลือกเดินทางโดย Speed Boat หลังจากพายแคนูเสร็จ เค้าจะพาไปเกาะปันหยีด้วยนะครับ แต่ราคาทัวร์จะแพงกว่านะ ตามที่บอกไว้แต่ต้น
อิ่มหนำสำราญแล้ว เป้าหมายต่อไปคือ เขาตะปูและเขาพิงกันครับ โดยจะมีเรือเล็กมารับแบบนี้
ทุกคนที่จะไปเขาตะปูต้องนั่งเรือเล็กไปนะครับ เนื่องจากน้ำตื้นเรือใหญ่เข้าไม่ได้ ที่สำคัญเป็นการกระจายรายได้ไปยังชุมชนด้วย
ขึ้นคนแรกเลยผม ใช้เวลาเดินทาง ไม่ถึง 5 นาทีนะ
ถึงแล้วววว ขึ้นและลงที่ท่านี้ท่าเดียวนะ ก่อนลงจากเรือ ควรจะจำเวลาที่ไกด์เค้านัดด้วยนะครับ
สินค้าที่ระลึกจากเขาตะปู ถ้าราคาไม่แรงเกินก็อุดหนุนกันได้นะ
ท่าถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวจีนคนนี้ว่าฮาแล้ว แต่เจ๊แกย่อซะจนหงายหลังเลย ไม่รู้จะขำหรือสงสารดี แต่ผมถ่ายตอนเจ๊แกหงายหลังเงิบไม่ทันนะ
เมื่อขึ้นเกาะมา สถานที่แรกที่เจอก็เคือ เขาพิงกัน
เขาพิงกัน เกิดจากการเลื่อนตัวของหินตามแนวรอยแยก โดยส่วนฐานถูกคลื่นกัดเซาะ ทำให้ส่วนบนเลื่อนตัวลงมาเป็นลักษณะเหมือนเขาวางพิงกันนั่นเอง
และถัดจากเขาพิงกันไปแค่ 5 ก้าว ก็คือพระเอกของที่นี่…. เขาตะปู
เค้าบอกว่าเขาตะปู จะสวยที่สุดตอนพระอาทิตย์ตก แต่ปัญหาคือ ผมไม่ได้อยู่จนถึงเวลานั้นน่ะสิ เอาน่ะ แค่ได้มาก็โอเคแล้วเนาะ
ที่นี่อากาศดีมากครับ ลมทะเลก็ไม่เหนียวตัวด้วย ผมชอบลมเบาๆ ของที่นี่นะ อาจะเป็นเพราะภูเขาเยอะมั้งลมเลยไม่ค่อยแรงเท่าไหร่
มาถึงที่แล้วไม่ถ่ายไม่แชร์ก็ไม่ใช่คนยุคนี้สินะ
เขาตะปูเป็นแลนด์มาร์คของที่นี่ ดังนั้นมันไม่ง่ายเลยที่จะถ่ายภาพที่นี่ไม่ให้ติดคนเข้าไปด้วย เฮ้อ ผมละกลุ้ม!!
นั่นไง อุตส่าห์ย้ายมุมแล้วนะ ก็ยังติดอีก ถ่ายๆ ไปก่อนล่ะกันแล้วค่อยลบทิ้ง!!
มาถึงเขาตะปูแล้ว อย่ายืนถ่ายภาพอยู่ที่ด้านหน้าอย่างเดียวนะ ฝั่งซ้ายมือจะมีทางขึ้นเขาเพื่อมองเขาตะปูจากมุมสูงด้วยนะ
เดินขึ้นไปไม่ทันเหนื่อยหรอกครับ นี่ไงเราจะได้มุมแบบนี้ แถมภาพไม่ติดคนด้วย
ด้านบนร่มรื่นดีครับ มีต้นไม้ใหญ่ให้เงาหลบร้อนได้สบายๆ
ชมและถ่ายภาพเขาตะปูกันหนำใจแล้ว ให้เดินไปให้สุดทางครับ เพราะจะมีชายหาดแบบนี้อยู่อีกฝั่งของเกาะครับ
เป็นชายหาดสั้นๆ ครับ แต่ก็เป็นหาดที่สะอาด ทรายสวยเนียนใช้ได้เลยนะ
เค้าจะปล่อยให้เราอยู่ที่นี่ประมาณ 30 นาทีครับ เป็นเวลาที่เหลือเฟือครับ เพราะเกาะแคบๆ เดิน 10 นาทีก็ทั่วแล้วล่ะ
หลังจากขึ้นเรือเรียบร้อยแล้ว ทางทัวร์จะพาเราไปเล่นน้ำครับ ซึ่งเป็นจุดเล่นน้ำที่ปลอดภัย ไม่มีแมงกะพรุน
โดยเราสามารถโดดน้ำจากบนเรือได้เลยครับ ตรงจุดไหนก้ได้ งานนี้โดนใจต่างชาติเค้าล่ะ
แต่ละคนเรียกได้ว่า งัดท่าแจ่มๆ มาโชว์กันเลยล่ะ
นี่ไง อ้วนแต่พลิ้วนะขอบอก ยอมได้ที่ไหน อิอิ
ขากลับผมคิดว่าไม่มีอะไรแล้วล่ะ เลยเก็บกล้องเข้ากระเป๋า แต่ยังมีไฮไลท์อีกอย่างนึงครับ นั่นคือ “เหยี่ยวแดง”
เราไม่ต้องไปหาแหล่งมันเลยครับ เพราะเค้ามีวิธีเรียกมันมา ที่สำคัญมาเยอะซะด้วย
วิธีการเรียกเจ้าเหยี่ยวแดงมาชมกันใกล้ๆ ก็คือทีมงานจะนั่งท้ายเรือ แล้วเป่านกหวีดเป็นระยะๆ ครับ แล้วก็สับไก่เป็นเชิ้นเล็กๆ แล้วโยนขึ้นฟ้า แค่นี้เหยี่ยวก็มาเฉี่ยวๆ อยู่บนหัวเราแล้วล่ะ
ผมเคยไปชมเหยี่ยวแดงที่จันทบุรี ต้องบอกเลยว่าที่อ่าวพังงานั้น มีให้ชมเยอะกว่าครับ
เอาล่ะทักทายถ่ายภาพกันพองามนะน้องเหยี่ยว เดี๋ยวพี่ต้องขอตัวกลับก่อนแล้วล่ะ
นั่งเรือเอื่อยๆ ลมเย็นๆ กำลังจะเคลิ้มหลับ …ยังครับ กิจกรรมยังไม่จบนี่เลย แดนซ์โชว์จากทีมงาน
สาวสอง สองสาวที่มาเต้นเรียกรอยยิ้มจากนักท่องเที่ยวนี่ไม่ใช่ใครที่ไหน…ก็คือฝีพาย นั่นแหละ ก็ดูกล้ามเธอว์สิ ไอย่ะ…
มาแด๊นซ์กันหน่อยมา กระเทยไทยกับกระเทยอมริกา ดูซิใครจะเซ็กซี่กว่ากัน
คนไทยอาจเฉยๆ แต่สำหรับต่างชาตินี่ ถูกใจเค้าล่ะ งานนี้ทิปอื้อ ขอบอก…
เอาล่ะครับ พอกลับถึงฝั่ง ก็นั่งรถตู้ที่มารับกลับที่พัก จบทริปเที่ยวอ่าวพังงา พายแคนู 1 วัน เป็นทริปที่ไม่เหนื่อยเลยครับ แถมได้สัมผัสธรรมชาติแบบใกล้ชิด เดินทางก็ใกล้มากๆ เป็นอีกหนึ่งทริปของผมที่บอกได้เลยว่า…มีรีเทิร์นแน่นอน
ส่วนท่านใดสนใจทัวร์แคนูอ่าวพังงา ติดต่อได้โดยตรงที่
มือถือ: 089-726 1788, 086-667 4446, 088-766 1611
โทรศัพท์: 076-680 788 Fax: 076-306 058
แฟนเพจ: phukettourholidaytour
หรือสนใจทริปหรือแพ็คเกจทัวร์ภูเก็ตเพิ่มเติมก็สอบถามได้จากแฟนเพจและเบอร์โทรดังกล่าวนะครับ
อ่าวพังงา การเดินทาง
การเดินทางไปเที่ยวอ่าวพังงาบอกได้เลยว่า ง่าย และสะดวกครับ เพราะเราต้องไปขึ้นเรือที่อ่าวปอ ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัตภูเก็ตอยู่แล้ว นั่นหมายความว่าคุณจะพักที่ไหนของภูเก็ตก็ได้ครับ มีรถรับส่งทั้งไปและกลับจากที่พักเลย เป็นทริปวันเดียวที่ผมอยากแนะนำนะ เพราะเดินทางใกล้ สะดวก ไม่เหนื่อย ราคาทัวร์ก็ไม่แพง อีกทั้งเรายังได้เปลี่ยนบรรยากาศการท่องเที่ยวทางทะเล ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นแค่ดำน้ำ เที่ยวชายหาด มาเป็นการท่องเที่ยวแนวสปอร์ตนิดนึง ถึงแม้ไม่ได้พายเรือเองก็เถอะ ได้ใกล้ชิดธรรมชาติด้วย ต่างชาติเค้าชอบการท่องเที่ยวแบบนี้นะครับ แต่ผมแปลกใจว่าทำไมคนไทยเราไม่นิยมกัน เชื่อหรือเปล่านอกจากเรือผมแล้ว เรือลำอื่นๆ ผมพยายามมองหาคนไทย ก็ไม่เจอเลยนะครับ ไปเที่ยวกันครับ บ้านเราเมืองเรา
มีของดีอีกเยอะ ที่คุณต้องไปสัมผัสเอง
ขอบคุณที่ติดตาม ขอบคุณมากมาย ขอบคุณอย่างแรง นายหัว
อุปกรณ์:
กล้องดิจิตอล : Olympus OMD EM5
เลนส์ :zuiko 12-50/f3.5-6.3