ลาวใต้ เป็นทริปที่ผมเคยเดินทางไปเที่ยวมาแล้ว โดยไปช่วงสงกรานต์บอกได้คำเดียวว่าร้อนมาก แต่เนื่องจากมันเป็นวันหยุดเลยจำเป็นต้องไป หลังจากที่มีข้อมูลอยู่แล้ว
มาคราวนี้ทริปลาวใต้จึงเป็นอะไรที่ง่ายสำหรับผม และคราวนี้เรานำรถยนต์เข้าไปในลาวเลย
อันที่จริงทริปนี้เราแวะเที่ยวอุบล และค้างที่เขื่อนสิรินธรคืนนึงก่อน ก่อนจะเข้าลาวตอนเช้าที่ช่องเม็ก แต่รีวิวเที่ยวอุบลผมจะทำแยกไว้อีกรีวิวนึง เนื่องจากจังหวัดอุบลมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก รีวิวนี้เลย รีวิวเฉพาะเที่ยวลาวใต้ 2 วัน 1 คืนเท่านั้น
เราเริ่มกันที่ด่านช่องเม็กเลย ถ้าเอารถเข้าลาว เราต้องมี passport ของรถด้วยครับ ซึ่งสามารถไปขอได้ที่ขนส่ง ส่วนป้ายทะเบียนนั้น เราจะใช้ป้ายทะเบียนเดิมก็ได้ หรือจะขอป้ายทะเบียนสำหรับประเทศที่2 แบบในภาพเลยก้อได้
สำหรับคนที่ไม่มี passport ก็สามารถทำบัตรผ่านได้ที่หน้าด่านครับ แต่ผมบอกไว้ก่อนว่า รอคิวนานมาก อย่างต่ำก็ 1 ชั่วโมง (ใช้รูปถ่ายและบัตรประชาชน)
เมื่อเข้าลาวมาแล้ว ต้องจ่ายตังค์ 5000 กีบ (20บาท) สำหรับป้อมแรก เค้าจะใช้น้ำยาฉีดยางรถ เป็นขั้นตอนของเค้าอะนะ หลังจากนั้นให้ไปที่ช่อง 6 กรอกเอกสารหนังสือเดินทาง กรอกทั้งสองส่วนทั้งขาเข้าและขาออก ส่วนขาออกนั้นยังไม่ต้องลงวันที่ ที่ออกจากลาว ค่าธรรมเนียมราคาคนละ 80บาท และค่าธรรมเนียมรถอีก 80บาท ผมแนะนำว่าเวลาไปเที่ยวลาวให้แลกแบงค์ 20 ไปเยอะๆ ครับ เพราะเวลาเราจ่ายค่าธรรมเนียมเค้าจะไม่ทอนให้เรานะครับ เราต้องจ่ายให้พอดี ก็คงจะรู้ๆ กันนะว่าเงินทอนเราเค้าเอาไปไหน…(ผมลองมาแล้วทั้งสองครั้ง)
เมื่อจัดการเรื่องเอกสารเรียบร้อย อันดับต่อไปก็ต้องแลกเงินครับ โดยที่ด่านของลาวจะมีจุดบริการเลขเงิน แต่วันที่เราไปเค้ากลับยังไม่เปิด เราเลยต้องใช้บริการของแม่ค้าลาวแทน ซึ่ง ค่าเงินคือ 250 กีบ ต่อ 1 บาทไทย เราแลก 3,000 บาท รวมเป็นลาวแล้ว คือ 750,000 กีบ
และเราก็ใช้บริการของแม้ค้ากลุ่มเดิม ซื้อซิม 3G สำหรับลาว ค่าซิมพร้อมใช้งาน อยู่ที่ 100 บาทไทย แม่ค้าลาวบอกว่าใช้ได้ไม่จำกัด ผมเองก็ทราบดีครับ ว่ามันไม่จริง แต่เราจำเป็นต้องเติม ผมแนะนำให้เค้าเปลี่ยนซิมให้เลยครับ รอให้ขึ้นสัญญาณ 3G ก่อนแล้วค่อยจ่ายตังค์นะครับ
และก่อนออกจากลาวจะมีป้อมสุดท้าย รถทุกคันต้องจอดปั๊มหนังสือเดินทางนะครับ ไม่งั้นมีปัญหาแน่นอน พอพ้นด่านมาจะมีคิวรถตู้อยู่ทางซ้ายมือ หากไม่ได้เอารถยนต์เข้าไป เราสามารถนั่งรถตู้จากจุดนี้ไปยังตัวเมืองปากเซได้ เป็นรถตู้ที่หันหน้าเข้าหากันเหมือนรถไฟบ้านเรา ค่าบริการคนละ 20,000กีบ (80บาท ราคานั้นอาจไม่แน่นอนนะ) คราวก่อนผมใช้บริการนี้แหละ นั่งเข้าตัวเมืองปากเซ และไปเช่ามอไซค์เอาทีหลัง
จากนั้นก็จะเป็นถนนเส้นตรงมุ่งสู่ปากเซ ประมาณ 50 กิโลเมตร เราจะเจอสี่แยก ทางขวามือจะเป็นทางเลี้ยวไปวัดภู แต่เราตรงไปก่อนเพื่อไปแวะจุดเที่ยวทีแรกของเรา
คือ วัดพูสะเหล่า ซึ่งอยู่ตรงตีนสะพานมิตรภาพลาว-ญี่ปุ่น ก่อนข้าตัวเมืองปากเซ
เราจะสามารถสังเกตเห็นวัดพูสะเหล่าได้อย่างชัดเจน บนเนินเขาทางขวามือ จะมีพุทธรูปสีเหลืองทองเด่นตะหง่าน บันได้นั้นสูงชันกันเลยทีเดียว
แต่ไม่ต้องตกใจรถยนต์สามารถขึ้นได้ถึงที่ครับ
อันดับแรกเราแวะเติมพลังกันก่อน โดยมีร้านค้าอยู่หลายร้านก่อนขึ้นวัดพูสะเหลา เราเลือกร้านแรกเลยครับ เพราะวิวดีที่สุด ไม่มีเมนูอื่นเลยนอกจากเฝอเนื้อ
แต่เรามีสมาชิกคนนึงที่กินเนื้อบ่อได้ เลยต้องขอให้เค้าทำข้าว(เหนียว)ไข่เจียวให้
เฝอที่ปากเซเค้าเนื้อนุ่มครับ หอมกรุ่น อย่าลืมเพิ่มรสชาดด้วยมะนาวและพริกสด
จากนั้นก็ขับไปตามทางสักแป๊บ ก็จะเจอจุดนี้ ซึ่งสามารถมองเห็นปากเซได้ทั้งเมือง
ช่วงนี้ฝนตกทุกวัน แต่โชคดีวันนี้ไม่มีฝนเลย เลยได้วิวแจ่มๆ แบบนี้
ดูจากมุมนี้จะเห็นเลยครับว่า ช่วงนี้น้ำในแม่โขงนั้นเยอะมาก แต่แบบนี้แหละดี มาคราวก่อนน้ำแห้งมาก มันดูไม่เหมือนแม่โขง
ด้านหลังองค์พระจะมีพระพุทธรูปหลายองค์ วางบนเนินเป็นอีกมุมนึงที่พลาดไม่ได้
ถ่ายภาพกันจนหนำใจแล้ว ก้ออย่าลืมแวะไปไหว้พระในโบถส์กันด้วยนะ
ผมมองแล้วเหมือนพระแก้วสามฤดูนะ
เอาล่ะครับ ตอนนี้เราจะไม่เข้าปากเซ เราย้อนกลับทางเดิม เพื่อไปวัดพูกันก่อน จากแยกดังกล่าวจะใช้ระยะทางประมาณ 40กิโลเมตร เจอด่านขาเข้า เราต้องจ่ายค่าผ่านทาง 15,000กีบ (60บาท) และเลยไปเกือบ 1 กิโลเมตร พยายามอย่าขับเร็วครับ เพราะจะมีตำรวจคอยจับความเร็ว (ประสบการณ์จากคราวที่แล้ว) แตพอเลยป้อมไป ก็แล้วท่านเลยครับ และจะเจอด่านขาออก ด่านนี้ไมต้องจ่ายครับ แค่เอาหางตั๋วให้เขา
ไปตามถนนเรื่อยๆ ตามป้ายไป ก็จะเจอวัดพู เราต้องจ่ายค่าจอดรถอีก 5,000กีบ(20บาท)
ค่าธรรมเนียมเข้าชมวัดพู ถือว่าโหดมาก 50,000กีบ (200บาท) อาจเป็นเพราะมรดกโลกด้วยละมั้ง
จุดนี้จะเป็นจุดที่มีรถมารับเราไปยังประสาทหินวัดพูครับ หากใครจะเดินไปชมพิพิธภัณฑ์วัดพูก่อนก็ได้นะ
เจ้าคันนี้แหละจะพาเราไป
เป็นไปตามที่ผมคาดไว้ครับ ว่ามารอบนี้ต้องเจอวัดพูแบบเขียวขจีแน่นอน คราวก่อนผมมาตอนเมษายน ต้องบอกว่ามันแห้งแล้งและร้อนมาก
ทางเข้าหลักจะอยู่ที่ต้นตาลที่เห็นนะครับ แต่ผมขออ้อมไปทางด้านข้างล่ะกัน เพราะทางนั้นคนเยอะ
ด้านข้างจะเป็นกำแพงติดชายป่า อย่าไปเดินตอนเย็นๆ นะ มันหลอนใช้ได้เลยล่ะ
รูปแบบเค้าจะคล้ายๆ กับปราสาทหินพนมรุ้งบ้านเรานี่แหละครับ ใช้หินเป็นหลักในการก่อสร้าง
เราจะเห็นคานไม้ แบบนี้อยู่หลายจุด อันนี้จะช่วยค้ำไม่ให้กำแพงหินพังลงมา เวลาเดินผ่านก็เบาๆ หน่อยก็ดีนะ
พอเดินเข้าไปแล้วชวนให้นึกถึงเขาวงกตเหมือนกันครับ แต่มิต้องตกใจมันแค่ระยะทางสั้นๆ เอง
เดินชมไปเพลินๆ ก็ผงะนิดหน่อย เพราะน้องเค้ายืนนิ่งมาก นี่ถ้าใส่ชุดโบราณหน่อยนี่ รับรองผมได้ถอยแน่ๆ
ร่องรอยของซากปรักหักพัง มีให้เห็นอยู่ทั่ว พอจะเดาได้ว่าสมัยก่อนเป็นประสาทที่ใหญ่ใช้ได้เลยทีเดียว
โซนนี้เป็นประสาทโซนด้านหน้าเท่านั้นนะ เดินชมกันสบายๆ
เดี๋ยวเราเดินไปชมส่วนหลังกันต่อเลยดีกว่าครับ
เอาล่ะเริ่มจากจุดนี้ ก็เริ่มเป็นชุดที่เรียกเหงื่อ และเสียงหอบ กันแล้วล่ะ ผมมาคราวก่อนจุดนี้สามารถขึ้นได้นะ แต่ตอนนี้ห้ามขึ้นแล้ว
ขึ้นมาขั้นแรก แล้วมองย้อนกลับไป จะเห็นว่าวัดพูมีพื้นที่เยอะมาก แต่น่าเสียดายที่พังไปซะเยอะเลย
ใครจะแวะไหว้พระตรงจุดนี้กันก่อนก็ได้นะ
จากนั้นก็ต้องเดินขึ้นบันได มาอีกขั้นนึง ก็จะเจอทางเดินลายหินแบบนี้
ใช่ครับตอนนี้บันไดจะเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ แต่วันนี้โชคดีที่แดดไม่ร้อน ช่วยให้คลายเหนื่อยลงไปเยอะ
เอาล่ะนั่งพักผ่อนแป๊บนึงก่อนจะขึ้นบันไดจุดสุดท้าย
บันไดหินจุดสุดท้ายเป็นจุดที่สูงที่สุด ตอนขาขึ้นอาจจะแค่เหนื่อย แต่ขาลงระวังกันหน่อยนะครับ อาจจะลื่นล้มลงมาได้
เอาล่ะมาถึงด้านบนแล้ว ก็ห้ามพลาดถ่ายวิวด้านล่างนะครับ แหมช่วงนี้นี่มันเขียวขจีดีจริงๆ
บนนี้จะมีโบถส์เก่าแก่ และมีพระประธานด้านในครับ
ด้านหน้าโบสถ์จะมีสาวลาวน่ารัก คอยขายมะเบ้ง ใช้ไหว้พระครับ
ด้านหลังโบสถ์จะมีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธ์ มาถึงวัดพูแล้ว ก็เดินไปให้ถึงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์กันด้วยนะครับ จะได้ทั่วๆ
ในความเห็นผมวัดพู ไม่ใช่วัดที่สวยงามสำหรับเวลานี้ แต่เป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์ของลาว เราเองเป็นนักท่องเที่ยวก็ควรหาข้อมูลก่อนไปเที่ยวด้วยนะครับ
จะได้รู้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้ เรามาชมมาเที่ยวแล้วจะได้อะไรตรงความต้องการหรือเปล่า
ขากลับจากวัดพู เราสามารถข้ามฝั่งแม่น้ำเพื่อนย่นระยทางได้นะ แต่คราวนี้เราเอารถยนต์มา และน้ำนั้นค่อนข้างจะเชี่ยว เราเลยตัดสินใจย้อนกลับไปปากเซ จ่ายค่าผ่านทางอีกรอบ หลังจากนั้น เลี้ยวขวาก่อนเข้าเมืองปากเซ เพื่อตรงดิ่งลงใต้ไปน้ำตกคอนพะเพ็ง
ระยะทาง 150 กิโลเมตร วิ่งกันยาวๆ เลยครับ
ขับรถชมวิวไปสักพักถ้าเจอทุ่งดอกบัวแบบนี้ข้างทางซ้ายมือ แสดงว่าเรามาได้ครึ่งทางล่ะ
เจอทางแยกไปท่าเรือนากะสัง ให้ตรงไปอีกนิดเดียวก็จะถึงคอนพะเพ็ง
ซึ่งหลังจากกลับจากคอนพะเพ็งเราจะลงเรือที่ท่านี้ เพื่อไปดอนเดช
เรามาถึงแล้วล่ะ น้ำตกคอนพะเพ็ง ค่าผ่านทางที่นี่คนละ 30000กีบ รถคันละ 10000กีบ
มาถึงผมถึงกับร้อง ไอยะ!!! มันแตกต่างกับตอนหน้าแล้งอย่าสิ้นเชิง น้ำมันมาจากไหนมหาศาลจริงๆ
การมาเที่ยวลาวใต้ของผมครั้งนี้ ไฮไลต์สำหรับผมก็อยู่ที่นี่แหละ มันเป็นน้ำตกที่ใหญ่จริงๆ ครับ
ถ้าถ่ายภาพคงจะอธิบายได้ไม่เท่าคลิป ผมเลยจัดเป็นคลิปมาให้เลย
น้ำตกคอนพะเพ็ง ตอนเดือนเมษายน หรือหน้าแล้งจะแตกต่างกับช่วงนี้โดยสิ้นเชิงนะครับ มาช่วงหน้าฝนแบบผมเราจะไม่เห็นน้ำตกเลย เพราะน้ำเยอะมากจนท่วมน้ำตกไปหมดแล้ว
แต่ก็ได้เห็นพลังของธรรมชาติในอีกมุมนึง ผมแนะนำว่าหากต้องการเจอน้ำตกแบบสวยงาม อย่าไปคอนพะเพ็งหน้าฝนครับ
จากนั้นเราย้อนกลับไปท่าเรือนากะสังอีกครั้ง ทางเข้านั้นเรียกว่ารถเก๋งนี่ปาดเหงื่อเลยล่ะ หลุมหลุกระดับเข่าเลยก็มีนะ นี่เป็นคลิปบางช่วงของเส้นทาง
สำหรับใครที่ขับมอไซค์ไป ก็สามารถตรงไปท่าเรือได้เลยครับ เราสามารถนำมอไซค์ข้ามฝั่งไปดอนเดดได้ และขี่มอไซค์เที่ยวในเกาะได้เลย แต่ถ้าเอารถยนต์ไปแบบพวกผม ก็ต้องหาที่ฝากรถครับ จากที่เราสำรวจดูจะมีที่จอดรถใหญ่ๆ อยู่ประมาณ 3 ที่ แต่ผมแนะนำให้เลือกที่จอดที่แรกที่เจอครับ จะอยู่ขวามือ
ที่จอดรถอื่นๆ พื้นจะเป็นดิน ไม่มีประตู ที่นี่ดูมาตรฐานที่สุดแล้ว แถมมีหลังคาให้ด้วย เค้ารับจอดรถทุกชนิดเลย
ที่จอดรถดังกล่าว จะอยู่ตรงข้ามตลาดซ้ายมือครับ จุดสังเกตคือ ตรงข้ามธนาคารสีแดงๆ นั่นแหละครับ
หากเข้าไปแล้ว ไม่มีคนอยู่ที่ลานจอดรถ ให้ติดต่อเจ้าของที่จอด ได้ที่ร้านค้า ที่อยู่ข้างๆ ธนาคาร
(กล้วยแขวนเยอะๆ น่ะ)
ผมเข้าไปติดต่อ แล้วพี่เจ้าของเค้าบอกให้เอาไปจอดใต้ถุนบ้านเค้าเลยก็ได้ ราคาค่าจอด คือ 20,000กีบ (80บาท) ต่อวัน
หลังจากนั้นต้องเดินอีกประมาณ 200 เมตร เพื่อไปยังท่าเรือ
เดินไปให้สุดทางแล้วเลี้ยวขวานะครับ จะเจอท่าเรือ บอกเค้าไปเลยว่าจะข้ามฝั่ง ถ้ารอคนเต็มลำ ผมไม่แน่ใจว่ากี่คนนะ ตกคนละ 20,000 กีบ แต่พอดีมันเย็นมากแล้ว ที่พักเราก็ยังไม่มี เราเลยเหมา เค้าบอกตกคนละ 30,000 กีบ (120บาท) จัดป่ะ
เรือที่จะพาเราข้ามฝั่ง ก็น่าตาประมาณนี้ครับ วันนี้ลุ้นนิดหน่อยเพราะน้ำเยอะมาก เยอะจนบอกได้เลยว่าน่ากลัว
ผมถ่ายคลิปมาให้ดูครับ ตั้งแต่ออกจากฝั่งยันถึงฝั่ง ใช้เวลาประมาณ 5นาทีเอง
พอถึงดอนเดด เราจัดการหาที่พักทันทีครับ เราเน้นที่พักริมน้ำ ซึ่งมีเยอะมาก ราคาตกอยู่ประมาณหลังล่ะ
30000-40000กีบ(120-140 บาทเองครับ) มีทั้งห้องน้ำในตัว และหัองน้ำรวมนะ
เราตกลงปลงใจพักที่ แสงจันทร์บังกะโล ราคา 40000กีบ ห้องนั้นจะพอดีสำหรับสองคน
สามคนก็นอนได้ครับ
แต่พอดีทีมงานเราอีกคนนึง เค้าขอเช่าอีกห้องนึง เพราะเค้าบอกว่าไม่อยากให้เพื่อนๆ รำคาญกับเสียงเอฟเฟคของเขาเวลาเค้าหลับ 55+
แสงจันทร์บังกะโล ด้านหน้าห้องพัก ติดกับริมโขง
ไปถึงดอนเดด แล้วอย่าพยามยามหาที่พักสบายๆ รีสอร์ทหรูๆ นะครับ เพราะมันไม่มี มีแนวๆ ที่เห็นนี่แหละ
ได้ที่พักแล้วก็ต้องต่อด้วยมื้อเย็นทันทีครับ ร้านที่แนะนำคือร้านที่อยู่ตรงท่าเรือเลย ร้านนี้บรรยากาศดี อาหารก็ราคาทั่วไปครับ
วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ตกเย็นได้นั่งชมบรรยากาศแบบนี้ เรียกว่าหายเหนื่อยกันเลยทีเดียว..เชียว
คลิปนี้เป็นบรรยากาศสดๆ ของร้านนี้
และแน่นอน มาถึงลาว ไม่กินเบียร์ลาวมันก็ผิดวิถีเนาะ …บอกได้เลยของเค้าดีจริง
กินเบียร์ลาว ก็ต้องมีกับแกล้มหน่อยก็ดีนะ
อาหารที่เราสั่งก็เป็นอาหารจานเดียวแบบทั่วไป แต่ลาวเค้าจะแยกข้าวจานกับจานมาให้นะครับ ไม่ได้โปะข้าวแบบบ้านเรา ..เอ๊ะ งั้นต้องเรียกว่าอาหารสองจานสิเนาะ
ตกกลางคืน ก็มีร้านอาหาร ร้านเหล้า เต็มสองข้างทางครับ ก็ประมาณบรรยากาศเกาะท่องเที่ยวทั่วไป ใครไม่รู้จักหลับจักนอน ก็เดินตระเวนดูได้นะ หนึ่งในนั้นคือผมนี่แหละ ตี 2 ถึงกลับไปนอน คนเดียวซะด้วย เพื่อนๆ เค้านอนกันหมด แต่ไม่มีภาพมาให้ดูนะ เพราะไม่อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถจะถ่ายภาพหรือคลิปได้อีกต่อไปแล้ว (ล่อเบียร์ลาวไปเกือบโหลมั้ง 55)
ตื่นมาตอนเช้าแบบงึกๆ งักๆ แต่โปรแกรมก็ยังคงเดิมครับ เราไปเช่ามอไซค์มา 2 คัน ราคันละ 80,000กีบ(320บาท) บอกไว้ก่อนว่า มอไซค์หาเช่ายากกว่าจักรยานนะ และควรติดต่อไว้ตั้งแต่ตอนเย็นหรือหัวค่ำ เพราะตอนเช้าคนให้เช่าเค้ายังไม่ค่อยตื่นกันนี่ก้อไปเคาะประตูร้านเค้ามานะเนี่ยยย อ้อแล้วอีกอย่างอย่าพยามยายามมองหากเกียร์ออโต้นะ เพราะมีแต่เกียร์ธรรมดาสภาพนี้แหละ
เป้าหมายแรกของเราวันนี้คือ น้ำตกหลีผี ครับ ทางไปหลี่ผีนั้นเเรียกว่า โหดนิดๆ นะ
แต่ก็บ่ยัน อยู่แล้วครับ แค่นี้จิ๊บๆ มาก แต่ใครก็ขับมอไซค์ไม่คล่องนี่ อาจได้ลงไปนอนในโคลน อันนี้บอกเลย
วิวสองข้างเป็นหมู่บ้านและท้องนา ตอนเช้าๆ นี่อากาศดีมาก ได้ชมวิถีของชาวลาวไปด้วยในตัว
ขับตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะเจอสะพาน ข้ามฝั่งไปจะเป็นดอนคอน
น้ำช่วงนี้มันเยอะมาก จนติดท้องสะพานแล้ว แต่มันได้อารมณ์แม่โขงจริงๆ นะ
ร้านนี้ถ้าใครเคยดูหนังเรือง “สบายดีหลวงพระบาง” คงพอจำกันได้นะ
สักพักเราจะเจอพิพิธภัณฑ์หัวรถจักร สมัยฝรั่งเศสเคยเข้ามาตั้งกองทัพในลาว
ตัวนี้น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่นะ เพราะไม่ลุกไปไหนเลย ถามไรก็ไม่ตอบ เลยต้องอ่านเองหมด
เอาเป็นว่าแวะอ่านกันสักหน่อยนะครับ จะได้รู้ที่มาที่ไป
ขับต่อไปก็จะเจอวัด(อะไรไม่รู้) แต่สวยดีครับ เราแวะไปเก็บภาพกันแป๊บนึง
ทีนี้ก็จะเจอสามแยก แบบนี้ถ้าตรงไป จะเป็นจุดไปชมโลมาอีรวดี (ติดกับเขมร) แต่เราเลี้ยวขวา ไปน้ำตกหลี่ผีก่อนครับ
ถึงน้ำตกแล้ว ก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมกันเช่นเคย 25,000กีบ สำหรับ ค่าเข้าชมน้ำตกหลี่ผี
ใครจะดื่มกาแฟ ก็สั่งได้ ตรงจุดชำระค่าธรรมเนียมได้ หรือจะไปสั่งด้านในตรงชาดหาดก้อได้ครับ
น้ำตกหลี่ผีจะคล้ายๆ กับ คอนพะเพ็ง แต่มีขนาดเล็กกว่า ส่วนชายฝั่งจะมีลักษณะเป็นซุ้มไผ่ โล่ง และอากาศดีครับ
แน่นอนครับ ถ้าน้ำเยอะแบบนี้หลี่ผีก็ไม่ต่างอะไรกับคอนพะเพ็ง
หลี่ หมายถึงที่ดักปลา แต่ดักแล้วดันมีศพมาติดด้วยเลยเป็นทีมาของ หลี่ผี
เนื่องจากน้ำท่วมหมดเลยไม่เห็นหลี่เท่าไหร่ มีอันนี้แหละ เลยถ่ายคลิปมาให้ชม
เดินไปสุดทางของหลี่ผีจะมีร้านอาหารและชาดหาดด้วยนะครับ เราไปดูกันดีกว่า
นี่ไงครับ ร้านอาหารและบังกะโลที่ว่า
จุดเด่นของที่นี่คือ มีชายหาด จุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด มีเรือไปดูโลมา ฟรีบังกะโล ฟรี wifi ฟรีโต๊ะpool ฟรีวอลล์เลย์บอล แต่วันนี้ไม่มีสักอย่าง เพราะน้ำเยอะ 555+
นี่คือบังกะโลที่เค้าบอกว่าฟรี เค้าอนุญาตให้นอนได้นะครับ ถ้าไม่กลัวยุงหามไปทิ้งลงโขง อิอิ
บรรยากาศทั่วไปจะคล้ายเป็นซุ้มนั่งกินอาหาร จิบเบียร์ อะไรประมาณนี้
เราไปเจอน้องเค้ามาเปิดร้านพอดี พอสั่งกาแฟน้องบอกยังไม่มี อ้ายมาเร็วเกินไป (อ้าว ผิดอีกตรู)
ส่วนนี้ก็คือชายหาดครับ แต่ช่วงนี้น้ำเยอะ หาดโดนน้ำท่วมไปหมดล่ะ
หลังจากเล่นน้ำโขงเสร็จเราสามารถอาบน้ำ ตรงชายหาดได้เลยนะ ท่ามกลางสายตาของนักท่องเที่ยวท่านอื่น เริดมากกก
สอบถามน้องเค้าบอกว่า ที่นี่คนจะเยอะมากตอนกลางวัน ส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งมาเล่นน้ำกัน
เราย้อนกลับไปตรงจุดชมปลาโลมาอิรวดีกันต่อครับ และเป็นไปตามคาดน้ำเยอะแบบนี้จะมีโลมาที่ไหนมาให้ยลกันเล่า
จุดนี้คือจุดที่สามารถยืนชมปลาโลมาได้ แต่ตอนนี้น้ำท่วมเกลี้ยง ฝั่งตรงข้ามที่เห็นคือเขมรนะครับ
มีชาวบ้านจับปลาขึ้นมาพอดี แต่ละตัวเนี่ยย เบิ้มๆ ทั้งนั้น
เอาล่ะครับ หมดโปรแกรมในเกาะกันแล้ว เราบึ่งกลับและเก็บข้าวของ ไปทีท่าเรือกันเลย
เรือออกจากท่าแล้วครับ ลาก่อนดอนเดด หวังว่าคงมีโอกาสกลับมาอีกครั้งนะ
ค่าเรือ 150 บาท ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมขากลับราคาถูกว่า แต่ไปสองครั้งแล้ว ก็เป็นแบบนี้ทั้งสองครั้งเลยล่ะ
ใช้เวลาข้ามฝั่งเท่าเดิมครับ คือประมาณ 5 นาที ดูจากคลิปจะเห็นว่านำไหลเชี่ยวมาก
นี่ขนาดริมฝั่งนะ
เอาล่ะถึงฝั่งกันแล้ว แหมเสียวใช่เล่นเหมือนกันะเนี่ยย
สายแล้วเรายังไม่ได้กินมื้อเช้ากันเลย เพราะเก็บท้องมาล่อเฝอตรง สามแยกนากะสังครับ คราวก่อนเคยกินแล้วติดใจ ชามใหญ่มาก ป้าคนขายก็ใจดี
และจบจากมื้อนี้เราก็ดิ่งตรงกลับไทยและกรุงเทพเลย จบแล้วครับทัวร์ลาวใต้ 2 วัน 1คืน ของผม
หวังว่าภาพและข้อมูลคงจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจไปเที่ยวลาวใต้ไม่มากก็น้อยนะครับ
การเดินทางไปลาวใต้
ลาวใต้เราสามารถเดินทางผ่านด่านช่องเม็ก ที่อำเภอสิรินธร อุบลฯ โดยทางที่ดีนั้นควรเข้าด่านแต่เช้านะครับ เผื่อเวลาสำหรับเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารต่างๆ ดังนั้นต้องกะเวลาว่า จะไปถึงด่านตอนเช้าเลย หรือจะไปเที่ยวอุบลฯ ก่อนแล้วค่อย หาที่พักแถวๆ พัทยาน้อย เพราะไม่ไกลจากช่องเม็ก มีร้านอาหาร และรีสอร์ทราคาถูก แล้วค่อยผ่านด่านตอนเช้าทีเดียว
การผ่านด่านฝั่งไทยนั้นไม่ค่อยมีปัญหา ถ้าเราเตรียมเอกสารครบ แต่ฝั่งลาวบอกได้ว่าปวดหัวจริงๆ คุณเชื่อไหมว่าเราสามารถเดินหรือขับรถทะลุด่านออกไปได้เลย โดยที่ไม่มี เจ้าหน้าที่คอยกัก หรือคอยตรวจ แต่นั่นแหละมันจะมีปัญหากับเราทีหลัง
ผมแนะนำว่าเมื่อผ่านด่านไทย และกำลังเข้าด่านลาว จะมีเจ้าหน้าที่นั่งเท่ห์ๆ อยู่ซ้ายมือ ให้เราไปถามเลยว่า ไปทางไหนต่อ คือแบบว่าไม่มีป้ายอะไรบอกทางเลยนะครับ หลังจากนั้น ก็จะมีป้อมเล็กๆ ขวามือ จ่ายค่าฆ่าเชื้อ 20 บาท แล้วจะมีคนเอาน้ำมาฉีดล้อนิดๆ หน่อยๆ
อันดับต่อไปให้ไปกรอกเอกสารขาเข้าที่ช่อง 6 (ไม่ใช่ช่องทีวีนะเอ้ย) เตรียมเงินค่าธรรมเนียมให้พร้อม โดยเฉพาะ แบงค์ 20 และ 50 เพราะถ้าคุณให้แบงค์ใหญ่ไป เผลอๆ อาจไม่ทอนนะ แล้วก็เช็คpassport ให้ดีว่าเค้าปั๊มให้เราหรือยัง ถ้ายังต้องบอกให้เค้าปั๊มด้วย ไม่งั้นจะเดือดร้อนครับ
สำหรับคนที่เอารถเข้าลาว ต้องยื่นเอกสารต่อที่ช่อง 8 และต้องไปปั๊มตราประทับที่ป้อมก่อนก่อนจาก ตม.ลาว อันนี้สำคัญต้องปั๊มนะครับไม่งั้นเดือดร้อน
การนำรถยต์เข้าไปลาว
ควรเตรียมเอกสารให้พร้อมตั้งแต่ฝั่งไทยครับ ไม่ว่าจะเป็น passportรถ รวมถึง passport ผู้โดยสารทุกคน รวมไปถึงป้ายทะเบียนสำหรับประเทศที่2 ซึ่งป้ายทะเบียนดังกล่าว
สามารถไปได้ทุกประเทศที่มีชายแดนกับไทย ก็คือ ลาว พม่า มาเลเซีย แต่การไปลาวนั้นใช้ป้ายทะเบียนไทยก็ได้ การนำรถยนต์ออกจากประเทศครั้งแรกจะใช้เวลานานพอสมควรครับ ขนาดเราเตรียมเอกสารทุกอย่างพร้อม กรอกแบบฟอร์มทุกอย่างพร้อม เจ้าหน้าที่ยังให้นั่งกรอกใหม่เลย
สำหรับผู้โดยสาร ที่ไม่มี passport ต้องทำเอกสารผ่านแดน โดยต้องเตรียมรูปถ่าย พร้อมบัตรประชาชน เมื่อได้เอกสารแล้วถึงจะไปยื่นที่ด่าน แนะนำให้ทำ passport ไปก่อนดีกว่าครับ เพราะขั้นตอนดังกล่าวใช้เวลานานมาก ผมเคยโดนมาแล้วตอนครั้งแรก เกือบถอดใจจะไม่ไปลาวซะแล้วตอนนั้น รอนานมากกกกก คนเยอะมากกกกกกกกกกกก
สำหรับคนที่ไม่ได้นำรถยนต์เข้าไปในลาว เมื่อผ่านด่านฝั่งลาวแล้ว เดินตรงดิ่งไปเลยครับ ซ้ายมือจะมีวินรถตู้ บอกเค้าว่าไปปากเซ ราคาประมาณ 80 บาท ผมบอกว่าประมาณนะครับ มันอาจไม่ตายตัว
ที่พักในลาวใต้
ที่พักหลักๆ สำหรับลาวใต้ คงจะเป็นที่พักในปากเซ ซึ่งมีโรงแรมทั้งเล็กและใหญ่เยอะเหมือนกัน ที่เห็นใหญ่ชัดๆ ก็คงเป็น โรงแรมจำปาศักดิ์ ที่เห็นได้เด่นชัดก่อนเข้าตัวเมืองปากเซซะอีก แต่ในปากเซมีโรงแรมเยอะมากเท่าที่ขับรถผ่าน แต่ผมไม่เคยพักในปากเซ อันนี้ไม่มีข้อมูลนะครับ ปากเซเป็นแค่ต้นทางสำหรับลาวใต้ครับ ผมเน้นพักที่ปลายทางอย่าง ดอดเดดดีกว่า เที่ยวไปให้ทั่วแล้วเข้าพักทีเดียว ที่พักในดอนเดดนั้น รูปแบบจะเป็นบังกะโลซะส่วนใหญ่ ราคาถูกและวิวดี พอเราลงเรือเสร็จให้เราเดินเลียบริมน้ำไปเลยครับ มีที่พักเยอะมาก ไม่ต้องรีบร้อนตัดสินใจ เลือกเอาที่เราพอใจ ที่พักในดอนคอน เป็นที่พักที่เงียบสงบ เพราะต้องเข้าไปลึกกว่าดอนเดด แต่ผมมองว่าควรพักทีดอนเดดดีกว่า เพราะมีร้านอาหาร มีมอไซค์ จักรยาน ท่าเรือพร้อมสรรพ แล้วเราค่อยเช่ามอไซค์ไปเที่ยว
ดอนคอน (หลี่ผี,โลมาอิรวดี)เอาทีหลัง
สถานที่ท่องเที่ยวลาวใต้
ลาวใต้นั้นอาจมีที่เที่ยวมากกว่าที่ผมไปก็ได้ครับ ผมไปคราวนี้เน้นไปตามเส้นทางเดิมที่เคยไป นั่นคือ สะพานปากเซ วัดพูสะเหล่า วัดพู น้ำตกคอนพะเพ็ง ข้ามเรือไปพักดอนเดด
และข้ามไปดูน้ำตกหลีผี และจุดชมโลมาอิรวดี คราวนี้ผมไม่ได้ไปตาดผาส้วมเอาไว้คราวหน้าล่ะกัน แต่การไปเที่ยวลาวใต้ของผมนั้นจะเน้น วิวสองฝั่งข้างทางมากกว่า วิวสวย ดิบ และเป็นธรรมชาติดีครับ
เงินลาว
เงินลาวมีหน่สนเป็นกีบ 1 บาทไทย เท่ากับ 250กีบ (10-08-2014) เราสามารถแลกเงินได้ที่ด่านของลาวเลยครับ หรือจะแลกกับแม่ค้าที่อยู่หน้าด่านก็ได้ วันที่ผมไป คือวันที่ 10-08-2014 ที่ด่านลาวให้ราคา 1บาท : 249.97 กีบ
แต่แม่ค้าหน้าด่านให้ 1บาท : 250กีบ แลกเสร็จแล้วนับให้ครบถ้วนนะครับ เงินลาวที่แลกส่วนใหญ่จะมีแบงค์ หนึ่งแสน , ห้าหมื่น, สองหมื่น, หนึงหมื่น แบงค์ย่อยๆ กว่านี้จะไม่ค่อยแลกครับ เพราะค่าเงินไทยเยอะกว่า ทางที่ดีพกแบงค์ 20 ไทย ไปเยอะๆ เพราะเราจ่ายเงินไทยให้เขาเลยก็ได้
และที่สำคัญอย่าคิดว่าแลกเงินลาวแล้วเราพกตังค์เยอะ จะใช้จ่ายอะไรก็ได้ ถ้าคิดแบบนั้นคือคิดผิดนะครับ เราพกเงินเยอะจริง แต่ค่าใช้จ่ายเค้ารอชาร์ตเราอยู่แล้ว พกเป็นแสนก็หมดเป็นแสน เอาเข้าจริงๆ ค่าใช้จ่ายก็พอๆ กับเที่ยวต่างจังหวัดบ้านเรานั่นแหละ
คำแนะนำในการเดินทางไปลาว
(จากประสบการณ์2 ครั้ง)
1.ขึ้นตอนต่างๆ ในด่านตรวจคนเข้ามเองไม่ได้มีบอกไว้ชัดเจน ว่าเสร็จจากจุดนี้ไปต่อจุดไหน และที่สำคัญเค้าไม่มีป้ายบอกทาง ที่เป็นภาษาอังกฤษ เจ้าหน้าที่จะไม่บอก เราต้องถามเค้าเอง
2. เงินค่าธรรมเนียมในด่านเค้าคิดเป็นเงินไทย และเราต้องเตรียมไว้ให้พอดี หรือไม่ก็เตรียมแบงค์ 20 หรือ 50 ไว้ให้เยอะๆ
3. ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในตม.ลาว และในลาว อาจมีการเปลี่ยนแปลง บางครั้งเค้าก็ไม่ได้คิดราคาตามตั๋ว ราคาที่ผมรีวิวไว้ จึงอาจไม่เป็นมาตรฐานเสมอไป
3. คนลาวขับมอไซค์ไม่มองหลัง ไม่มองกระจก และขับกลางถนน ถ้าเราเอารถเข้าไปเองต้องระวังให้ดี
ข้อมูลที่ผมรีวิวอาจไม่ครบถ้วนกระบวนความนะครับ ท่านใดต้องการไปเที่ยวลาวใต้ด้วยตัวเอง ก็ควรศึกษาจะแหล่งอื่นเพิ่มเติมอีกทีนึงเพื่อให้ชัวร์ และเทียวลาวใต้อย่างสนุก
ขอบคุณที่ติดตาม ขอบคุณมากมาย ขอบคุณอย่างแรง
…นายหัว