รีวิวเที่ยวดอยเสมอดาว ดอยภูคา บ่อเกลือ จังหวัดน่าน
น่านจังหวัดเล็กๆ ที่ใครๆ ก็บอกว่าควรไปเยือนให้ได้ ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทริปน่าน 3 วัน 2 คืนนี้ ผมไปเป็นแก๊งค์ ซึ่งเป็นแกงค์ที่เคยเที่ยวกันเป็นประจำ ห่างหายกันไปนานมารวมตัวกันได้ ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก 1-3 พฤศจิกายน เราเดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่หัวค่ำของวันที่ 31 ตุลาคม กะจะไปถึงอุทยานแห่งชาติศรีน่าน สักประมาณ ตี4 หรือ ตี5 เพื่อไปนอนดูดาวที่ดอยเสมอดาว ตกเช้าก็ชมทะหมอกเลย แต่การจราจรของกรุงเทพฯ ก็เล่นงานผมจนได้ ทั้งๆ ที่เผื่อเวลาไว้แล้วนะ สุดท้ายเราทันแค่ได้ดูทะเลหมอกตอนเช้าที่ดอยเสมอดาว
จุดแรกที่เราต้องจอด ก็คือจุดชมวิวก่อนถึงดอยเสมอดาว เรียกว่าเจอภาพนี้ไม่ตื่นก็ต้องตื่นล่ะครับ
ด้วยเพราะเราเดินทางกันวันธรรมดา วันนี้จุดชมวิวจุดนี้ จึงมีผมและชาวคณะเท่านั้น
อากาศไม่หนาวมากครับ อาจเป็นเพราะแสงอุ่นๆ จากพระอาทิตย์ด้วยมังครับ
เลยทำให้อากาศวันนี้เย็นสบายเป็นที่สุด
จากนั้นเราขับรถไปอีกนิดเดียว ก็ถึงดอยเสมอดาวแล้วครับ วันนี้นอกจากแก๊งค์ผมแล้ว ก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น
อีก 2 กลุ่มเท่านั้น
เห็นคนอื่นเค้านอนค้างคืน นอนดูดาวกัน ผมแอบเจ็บใจเล็กๆ แต่เอาน่ะเดี๋ยวไปดูดาวที่ดอยภูคาเอาก็แล้วกัน
นั่นไงครับเป้าหมายของเราอยู่ที่ป้ายดอยเสมอดาว ริมขวามือที่เห็นในภาพนั่นแหละ
เอาล่ะในที่สุดก็ถึงซะที ดอยเสมอดาว แต่ป่านฉะนี้แล้ว ถึงแม้จะชื่อเสมอดาว แต่ก็คงไม่มีดาวให้เห็นแล้วล่ะ
มีแต่ทะเลหมอกแบบนี้แหละ ว๊าววว !!! แค่นี้ก็หายเหนื่อยล่ะ หลังจากหลับมาทั้งคืน เอ๊ยย ขับรถมาทั้งคืน
มุมนี้พระอาทิตย์จะส่องตรงๆ พอดี เลยทำให้สีสันของหมอกนั้น แตกต่างกับจุดชมวิวด้านล่าง แต่ก็ดีนะ ได้เห็นหลายๆ แบบดี
ณ จุดๆ นี้มีใครบ้างล่ะ จะไม่เอนกายลงนั่งยลหมอกอันขาวโพลน พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์(ที่ไม่มีใครมาแย่ง)
ต้องยอมรับเรามาช้าไปในนิดนึงครับ คนที่มาก่อนเค้าบอกว่าตอนไม่มีแดด หมอกหนากว่านี้มาก แต่เอาเหอะเห็นแค่นี้ผมก็เพียงพอล่ะ
แหม๊ อากาศเย็นๆ แถมมีลมพัดเบาๆ แบบนี้ผมอดไม่ได้ที่จะกอด… กอดตัวเองครับ ไม่มีคู่ก็ต้องทนหนาวกันต่อไป
เหลียวมองย้อนไปด้านหลังที่เดินผ่านมา จะเป็นจุดกางเต๊นท์ครับ เห็นเต๊นท์หลายหลังจริง
แต่มีคนพักแค่ 2 เต๊นท์เองนะ
ผมเชื่อว่าช่วงเทศกาลท่องเที่ยว คงไม่มีวิวแบบนี้ให้เห็นกันเป็นแน่แท้ เป็นการโดดงานที่คุ้มค่าจริงๆ อิอิ
แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้า มันชวนให้ไม่อยากเดินไปไหนกันเลยทีเดียวครับ สดชื่นอย่าบอกใคร
หากมองไปทางซ้ายมือ หินที่เห็นอยู่ไกลๆ นั่น คือ ผาหัวสิงห์ครับ
เราเดินไปตามทางเพื่อจะขึ้นผาหัวสิงห์ แต่กลายเป็นว่าบันไดโดนเอาออกครับ ซึ่งก็น่าจะติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อน แต่วันนี้เรายังไม่เห็นวี่แววเจ้าหน้าที่เลย งานนี้เลยอด แถมหอบฟรี อีกต่างหาก แฮ่กๆ
ต้องมานั่งพักให้หายหอบกันอยู่พักใหญ่ ดีนะมีวิวแบบนี้ให้ชมไปด้วย เลยหายเหนือยเร็วหน่อย (เกี่ยวกันไหม)
ผมเองนั้นเน้นท่องเที่ยวมากกว่าถ่ายภาพ ดังนั้นอุปกรณ์อาจจะไม่พร้อม เลยเก็บภาพหมอกแบบใกล้ๆ มาให้ชมกันไม่ได้ น่าเสียดายจริงๆ ครับ
ชาวคณะเรียกผมให้ไปกินข้าวเช้าด้วยกัน แต่ใครอยากกินก็กินไปเถอะ วันนี้ผมจะกินหมอกเป็นอาหาร
นี่เป็นแค่การเริ่มต้นของทริปน่าน 3 วัน 2 คืน เท่านั้น ดังนั้นเราต้องทำเวลากันหน่อย น่าเสียดายครับ
ผมมีแผนจะไปเที่ยวน่านอีกตอนเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อชมดอกชมพูภูคาที่ขุนสถาน แน่นอนทริปหน้าผมไม่พลาดนอนดูดาวที่นี่แน่ๆ
หลังจากที่รอชาวคณะอาบน้ำอาบท่า ผมเดินไปชมอีกฝั่งนึง วิวก็สวยดีนะครับ ตอนเช้าๆ หมอกน่าจะเยอะเช่นกัน
บ้านพักหลังนี้ดูคลาสสิคดีจัง แต่ไม่ใช่เป็นที่พักนะครับ เป็นบ้านของเจ้าหน้าที่เค้าน่ะ
ครับ ต่อไปเราก็ลงจากดอยเสมอดาว เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองน่าน แต่ระหว่างทางเราแวะที่นี่กันก่อน “เสาดินนาน้อย”
เสาดินนาน้อยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีประวัติมานาน สมันก่อนเรียกว่า เด่นเขียวหรือเด่นอีบด
หากดูจากรูปร่างแล้วหลายคน คงนึกถึง แพะเมืองผี ที่จังหวัดแพร่ ใช่ไหมล่ะ ใช่เลยครับลักษณะคล้ายกัน
แต่ผมบอกตรงๆ ว่าเสาดินนาน้อย น่าน สวยกว่า ที่แพะเมืองผี แพร่ นะครับ
เหตุผลเพราะว่าที่ เสาดินนาน้อย มีรูปทรงหลายแบบกว่า อีกทั้งมีบริเวณที่กว้างกว่าเยอะเลยครับ
วันนี้เราไปกันแต่เช้า เลยไม่ค่อยมีแดดเท่าไหร่ ภาพเลยดูหม่นๆ ไปนิดนึง
เมื่อกี๊ตอนอยู่บนดอยยังมีแดดอยู่เลย ใช่ครับ เพราะบริเวณนี้อยู่ที่ต่ำ เลยโดนหมอกปกคลุม แดดส่องลงมาไม่ถึง
ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าไปเที่ยวช่วงปลายปี อาจจะไม่เจอหมอกแบบนี้นะครับ
แต่ผมแนะนำนิดนึงว่า หากไปชมที่นี่ ไม่ควรไปคนเดียวนะครับ ไม่ได้มีอันตรายอะไรหรอก แต่นักท่องเที่ยวน้อย มันออกจะเปลี่ยวๆ นิดนึง
จากข้อมูลเสาดินนาน้อย มีอายุมานานพอสมควรนะครับ ส่วนข้อมูลเราสามารถอ่านได้ตรงบริเวณทางเข้า
ตัวผมเองก็สงสัยนะว่าข้างในมันจะเป็นอย่างไร ว่าจะมุดเข้าไปดู แต่เกรงใจพุงตัวเอง อิอิ
ทางเดินชมนั้น เราต้องเดินชมตามทาางที่เค้าทำไว้ให้นะครับ ห้ามออกนอกเขต เพราะอาจทำให้ดินพังทะลายลงได้ ควรระวังกันนิดนึง
ไม่ผิดหวังครับ ที่ตัดสินใจแวะที่นี่ ถึงแม้เสาดินนาน้อย จะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่ชื่อดังมากนัก
แต่อาจมีหลายคนคิดแบบผมนี่แหละ เลยไม่แวะกัน ถ้าผ่านไปทางนั้นก็แวะเถอะครับ ใช่ว่าเราจะได้ไปน่านบ่อยๆ จริงไหม
เอาล่ะทีนี้ ก็ถึงเวลาต้องดิ่งเข้าตัวเมืองกันแล้วล่ะ
แต่เดี๋ยว…ระหว่างทาง เจอบรรยากาศทุ่งนากำลังออกรวงแบบนี้ ผมล่ะอดไม่ได้ที่จะลงไปเก็บภาพสักหน่อย คาดว่าไม่กี่เดือนคงจะเหลืองทั้งทุ่งแน่ๆ เลย
เราดิ่งเข้าตัวเมืองน่านกันด้วยความหิวโหย และเป้าหมายของเราเป็นที่ไหนไม่ได้ “ข้าวซอยต้นน้ำ” หน้าศาลหลักเมืองน่านนี่แหละครับ
ร้านข้าวซอยต้นน้ำจะเป็นร้านเล็กๆ นะครับ แต่คุณภาพและความอร่อยเกินขนาดร้านเลยล่ะ
ไปน่านแล้วพลาดไม่ได้นะ
อย่างที่บอกครับ ถึงแม้จะเป็นร้านเล็กๆ แต่ความสะอาดนั้น ต้องยกนิ้วให้เค้าเลยจริงๆ
เมนูหลากหลาย เลือกสั่งกันตามถนัดเลย ผมขอเตือนนะอย่าสั่งแบบพิเศษ เพราะมันจะอิ่มเกิน ควรจะสั่งธรรมดา แต่หลายเมนู อิอิ
เพราะความหิวจัดผมนี่แหละ ดันพลาดไปสั่งพิเศษ เจอเข้าไปเรียกว่าจุก จนสั่งเมนูที่สองม่ายยหวายยย
อีกจานเป็นขนมจีนน้ำเงี้ยวครับ แต่ละเมนู น่าทานทั้งนั้น
มาทานข้าวซอยถึงภาคเหนือทั้งที ก็ยังดันสั่งเส้นมาม่าที่คุ้นเคยเนาะผม
หรือใครจะสั่งข้าวหมูแดงทานก็ได้ครับ มีทั้งข้าวหมูแดงธรรมดา หรือข้าวหมูแดงสับ
อิ่มแล้วไปไหน ออกจากร้านข้าวซอยต้นน้ำแล้ว เดินไปทางซ้ายมือประมาณ 200 เมตรครับ
เรามาเริ่มทริปทัวร์วัดน่านกันเลย
วัดนี้เป็นศาลหลักเมืองของจังหวัดน่านครับ มีโทนสีออกไปทางสีขาว
ประติมกรรมนั้นสวยงามตามแบบฉบับวัดทางเหนือ
บริเวณวัดนั้นไม่กว้างครับ เดินไม่ถึง 5 นาที ก็ทั่ววัดแล้วล่ะ อ้อ..อย่าลืมถอดร้องเท้าก่อนเข้าวัดนะ
ด้านหน้าเป็นศาลหลักเมืองประจำจังหวัดน่าน ถัดไปจะเป็นโบสถ์ครับ
โดยส่วนตัวผมชอบวัดทางเหนือเป็นพิเศษ ผมมองว่าวัดทางเหนือเป็นวัดที่สวยที่สุดในประเทศแล้วนะ
น่านวันนี้ถึงแม้แดดจะเริ่มร้อนขึ้น แต่อากาศก็ยังเย็นๆ สบายๆ อยู่นะ ไหว้พระกันเพลินเลยล่ะ
แค่เจอวัดแรกยังประทับใจขนาดนี้ แล้วน่านยังมีอีกตั้งหลายวัด ทริปนี้ผมถ่ายภาพกันมือหงิกแน่ๆ
เดี๋ยวเราเข้าไปหลบแดดในโบถส์กันบ้างดีกว่าครับ ไปดูซิว่าด้านในจะสวยเหมือนด้านนอกหรือเปล่า
เข้ามาปุ๊บ มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง ด้านนอกสีขาว แต่ด้านในนั้นสีแดงสด สีสันสวยงามมากครับ
หลังจากที่ชาวคณะเค้าไหว้พระกันเสร็จแล้วเราก็คงต้องจร กันแล้วล่ะ ยังมีอีกหลายวัดครับ
เราเดินย้อนกลับไปทางร้านข้าวซอยต้นน้ำครับ เดินตรงไป ประมาณ 400 เมตร เจอแล้วครับแหล่งท่องเที่ยวที่ต่อไป ไปวัดภูมินทร์ก่อนแล้วกันครับ
หน้าวัดภูมินทร์มีของฝากที่พลาดไม่ได้อีกอย่างนึงคือ ข้าวหลามเผาโบราณครับ โบราณหรือไม่ดูจากอายุแม่ค้าหลายๆ ท่านแล้ว คอนเฟิร์มครับว่าโบราณจริงๆ (อ่ะ ย้อเย่นน่า)
เดินไปอีก 100 เมตรก็ถึงแล้วครับ วัดภูมินทร์ วัดดังของจังหวัดน่านเค้าล่ะ
ผมนั้นชอบเที่ยว และถ่ายรูปวัด และเที่ยววัดมาก็เยอะ ผมสารภาพเลยว่า วัดภูมินทร์นี่แหละ คือวัดที่ผมชอบมากที่สุด เท่าที่เคยเที่ยววัดมา
วัดภูมินทร์ เป็นวัดที่ต้องบอกว่าเล็ก แต่กลับมีทุกอย่างตามคำนิยามคำว่าวัดของตัวผม
ศิลปะที่สวยงาม แต่เรียบง่าย สะอาด เป็นระเบียบ อีกทั้งประวัติศาสตร์ของวัด ก็มีมายาวนาน
เป็นวัดที่ ไม่มีธุรกิจแอบแฝงในวัดมากเกินไป ถึงแม้อยู่ใจกลางเมืองน่าน และยังคง
ความเป็นดั้งดิมของวัดไว้ได้ดีมากๆ
มาเที่ยววัดคราใด เจอภาพผู้ปกครอง จูงลูกจูงหลานเข้าวัดแล้ว มันทำให้รู้สึกปลื้มใจ
กับวัฒนธรรมของประเทศเราจริงๆ
เอาล่ะ ช่วงนี้ยังเช้าคนยังน้อย เข้าไปไหว้พระประธานในโบสถ์กันก่อนดีกว่า
อย่าลืมถอดรองเท้าก่อนเข้าโบสถ์นะครับ ถึงแม้จะร้อนเท้าหน่อย ก็ต้องทนกันนิดนึงนะ เพราะเข้าไปด้านในแล้วท่านจะลืมร้อนไปเลย
ด้านในเป็นพระประธานสี่ทิศ ผมบอกได้เลยว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามมากจริงๆ
หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ พระประธานจตุรพักตร์
ซึ่งเป็นพระพูทธรูปขนาดใหญ่ หันหน้าออกทางประตูทั้ง 4 ทิศของพระอุโบสถจตุรมุข
กราบไหว้และขอพรหลวงพ่อเสร็จ เดี๋ยวเราไปชมจิตรกรรมกันต่อ
ซึ่งไม่ต้องไปไหนไกล จิตรกรรมฝาผนัง วัดภูมินทร์ ที่ว่าก็อยู่ในโบถส์นี้แหละครับ
ภาพจิตรกรรมหรือ “ฮูบแต้ม” ในวัดภูมินทร์นั้นเป็นเรืองราวเกี่ยวกับศาสนาและการดำเนินชีวิต
ของชาวไทลื้อสมัยก่อน
และที่โด่งดังที่สุด ก็เป็น ภาพวาด “ปู่ม่าน ย่าม่าน” ซึ่งเป็นชายและหญิงไทยลื้อสมัยนั้น กระซิบพูดคุยกันตามประสาหนุ่มสาว
จนภาพวาดดังกล่าวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ท่องเที่ยวของเมืองน่านไปแล้ว หากเราเข้าไปในตัวเมืองน่าน ก็จะเจอแต่ภาพนี้แหละ
ชมและถ่ายภาพในโบสถ์กันหนำใจแล้ว เราไปชมด้านหน้าโบถส์กันหน่อยดีกว่า
หน้าโบสถ์จะมีนาคสะดุ้งตัวใหญ่สองตัว หันหน้าออกไปทางถนน ซึ่งถ้าเราสังเกตดีๆ โบสถ์ทั้งโบสถ์จะอยู่บนพญานาคสองตัวนี้
ซึ่งด้านหลังของโบสถ์จะเป็นหางของพญานาคแบบนี้ครับ
ไหว้พระ และชมภาพวาดปู่ม่านย่าม่านกันเสร็จแล้ว เดินออกมาชมรอบนอกกันต่อครับ
ด้านนอกมีมีรูปวาดปู่ม่านย่าม่าน จำหน่ายด้วยครับ ซึ่งถ้าเราไปน่าน เราจะเจอภาพของปู่ม่านย่าม่าน ทั่วเมืองน่านเลยล่ะ
ผมเดินออกมาเดินดูรอบๆ วัด ต้องบอกว่าวัดเค้าสะอาดจริงๆ ทั้งในวัดและนอกวัดเลย
อย่างที่ผมบอกไว้ว่าเมืองน่านสะอาดมาก ผมหาขยะข้างถนนไม่เจอเลยจริงๆ ไม่ได้โม้
เรียกได้ว่าประทับใจกับวัดภูมินทร์เอามากๆ แต่น่านน่ะ ไม่ได้มีวัดสวยเพียงแค่นี้นะ
ตายละวาา!! ผมลืมไปว่าทริปนี้ไม่ได้มาคนเดียว สงสัยชาวคณะคงรอกันแย่ล่ะ เอาล่ะครับเดี๋ยวเราไปเช็คอินน์ที่พักกันก่อน
ที่พักของเรานั้น อยู่ตรงกันข้ามกันศาลเจ้าครับ ซึ่งเลยจากโรงแรมเทวราช และโรงแรมน่านฟ้ามานิดหน่อย
“กำกิ๋น” หรือ “เฮือนกำกิ๋น” ด้านล่างจะเป็นร้านอาหาร ส่วนด้านบนจะเป็นห้องพักครับ
ซึ่งราคานั้นเรียกว่าหลักร้อยเอง
ผมและชาวคณะมาถึงที่นี่กันตอนเที่ยงตรง ตอนนี้ชาวคณะอยากพักผ่อนกันแล้วล่ะ ขึ้นไปดูห้องกันเลย
ต้องขออภัยที่ภาพห้องอาจดูรกๆ ไปนิด เพราะว่าแต่ละคนมาถึงก็โยนสัมภาระกันแบบนี้เลย
ห้องนี้พักได้ 3 คนครับมีห้องน้ำในตัว เรามากัน 5 เลยต้องขอเตียงเสริมที่พื้นอีก 1
ส่วนด้านนอกห้องพัก ก็มีห้องน้ำรวมไว้ให้บริการเสริมอีก 2ห้องนะครับ
ห้องน้ำมีสะอาด และมีอุปกรณ์มาตรฐานครบทุกอย่าง ยกนิ้วให้เลยล่ะ
เสียดายที่ผมได้ถ่ายห้องพักมาให้ชมกันน้อยไปหน่อยเพราะ ตอนนี้ชาวคณะผมนอนแผ่หลากันเต็มห้องไปหมดล่ะ
แต่ผมอยากตระเวนมากกว่า เลยลงไปเช่ามอไซค์ที่ด้านล่างของกำกิ๋นนี่แหละครับ
ราคา 200 น้ำมันเต็มถัง ถูกโพดๆ
เอาล่ะทีนี้ก็ได้เวลาตระเวนตามสไตล์นายหัวทัวร์ไทยแล้วล่ะ เราไปวัดแรกกันก่อนเลย “วัดศรีพันต้น”
วัดนี้เด่นสง่าเป็นสีทอง เด่นตามากๆ อยู่ตรงบริเวณสี่แยก ร้านบัวลอยป้านิ่ม นั่นเองครับ
จุดเด่นของวัดนี้นอกจากจะเป็นเหลืองทองอร่าม ก็ยังมีรูปแกะสลักพญานาคเยอะมาก จำนวนหัวพญานาคนั้นหลวงพี่เค้าบอกผมแล้วล่ะ แต่ลืมไปแล้ว แหะๆ
ที่วัดนี้เขามีอู่ต่อเรือด้วยครับ แต่วันนี้เรือไม่อยู่เพราะเค้าเอาไปแข่งที่ลำน้ำน่าน
ป้าท่านนึงในวัดเล่าให้ฟังว่า คนสร้างโบถส์นี้ไม่ได้เรียนมาด้านนี้โดยตรงนะครับ แค่เค้าชอบและเค้าสร้างตามจินตนการ บวกกับหนังสือธรรมมะที่เค้าอ่าน
สวยงามสมเป็นวัดทางเหนือจริงๆ ครับ อ่อนช้อย และมีรายละเอียดเยอะมากๆ
ออกจากวัดศรีพันต้นแล้ว เราไปวัดต่อไปกันเลยครับ
วัดหัวข่วง เป็นอีกวัดนึงที่สวยงามไม่แพ้กัน แต่จะมีสีสันที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับวัดศรีพันต้น
หากใครไปเที่ยววัดน่าน ไม่ต้องกังวลว่าจะไปไม่ถูกนะครับ เพราะวัดจะอยู่ติดกันหมด ข้ามถนนไปอีกฝั่งก็เจออีกวัดแล้วล่ะ
วัดหัวข่วงจะมีหอพระคัมภีร์ อยู่ด้านหลังโบสถ์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของวัดนี้เขาเลยล่ะ
แดดที่น่านตอนบ่ายๆ นี่ร้อนใช่เล่นครับ แต่อากาศโดยรวมก็ถือว่ายังดีมากครับ ผมยังไม่มีอาการเมาแดดแม้แต่นิดเดียว
วัดในน่านแต่ละวัดจะมีพื้นที่น้อยมากครับ ดังนั้นวัดนึงจะใช้เวลาชมไม่นาน เหมาะมากกับเที่ยวแบบตระเวน
วัดต่อไป เป็นวัดกู่คำ เป็นอีกวัดนึงที่มีสีทองเด่นตาเช่นกัน
ด้านในจะมีเจดีย์สีเหลืองทองตั้งเด่นออยู่กลางวัด วัดกู่คำนั้นเป็นอีกวัดนึงที่ต้องเรียกว่าเล็กเอามากๆ
ด้านนึงเป็นโบสถ์และเจดีย์ ส่วนอีกฝั่งเป็นกุฏิที่มีลักษณะย้อนยุคนิดนึง ตามประสาชาวน่านเค้า
เอาล่ะครับ หลังจากที่ได้คุยกับคุณป้าที่วัดศรีพันต้น ว่ามีการแข่งเรือ เราไปดูกันหน่อยดีกว่า สี่แยกนี้แล้วเลี้ยวขวาเลยครับ
โชคดีเป็นของผม ที่มาเที่ยวน่าน ตรงกับวันที่เค้าจัดแข่งเรือพอดี
ประเพณีแข่งเรืองนี่เป็นประเพณีเก่าแก่ของน่านเค้าเลยล่ะครับ ผมเองก็เพิ่งรู้เช่นกัน
เค้ายังมีแข่งอีกหลายวันครับ แดดร้อนเปรี้ยงๆ ผมว่าเราหลบแดดไปไหว้พระธาตุแช่แห้งกันก่อนดีกว่าเนาะ
มาถึงเมืองน่าน ไม่มาไหว้พระธาตุนี่ ผมว่ามันคงแปลกๆ พิลึกนะครับ เป็นพระธาตุที่สวยงามและขึ้นชื่อของจังหวัดน่าน
พระธาตุเป็นสถานที่ศักสิทธิ์ดังนั้น อย่าลืมถอดรองเท้าก่อนเข้าไปนะครับ แต่ใครไปช่วงบ่ายๆ แบบผม รับรองได้เดินไปกระโดดไปครับ พื้นมันร้อนมากกกกกกก
พระธาตุแช่แห้งอยู่ออกไปจากตัวเมืองน่านนิดเดียวครับ ขับรถข้ามลำน้ำน่านไป 4-5 กิโลมั้ง
นอกจากองค์พระธาตุสีเหลืองทองแล้ว ข้างๆยังมีโบสถ์สถาปัตยกรรมล้านนา ซึ่งในนั้นมีพระประธานให้เราได้กราบไหว้กันด้วย
เข้าไปด้านในรู้สึกเค้าจะมีพิธีกรรมอะไรสักอย่าง ตัวผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน
พระธาตุแช่แห้ง เป็นพระธาตุประจำปีเถาะ เรียกว่าคนที่มาไหว้กันนั้นเดาได้เลยว่าเป็นชาวกระต่ายทั้งนั้น
นั่งดูคนที่มาไหว้เดินมั่งกระโดดมั่ง เพราะพื้นร้อนมาก ดูๆ แล้วก็เหมือนกระต่ายจริงๆ แหละ อิอิ
สีเหลืองทองของพระธาตุแช่แห้ง แดดแรงๆ แบบนี้ใครมองนานๆ แสบตาแน่นอน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
แดดน่ะผมสู้ไหว แต่ที่สู้ไม่ไหวคือพื้นร้อนๆ นี่แหละ เอ๊ะ หรือว่าเท้าเราบางกว่าหน้าหว่าาาา
กราบลาพระธาตุกันแล้ว เราวนกลับเข้าเมืองกันอีกทีครับ คาดว่าตอนนี้ชาวคณะผมคงฟื้นกันแล้ว
หลังจากสมาชิกครบทีมแล้ว เราไปเที่ยววัดกันต่อ อากาศตอนเย็นๆ แบบนี้กำลังสบายเลยทีเดียวครับ
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร อยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์น่าน และวัดภูมินทร์ แค่เดินข้ามถนนก็ถึงแล้วล่ะ
ด้านในวัดพระธาตุช้างค้ำ ประกอบไปด้วยโบสถ์ด้านหน้า และพระธาตุอยู่ด้านหลังวัด
ทีแรกผมเองก้แปลกใจครับว่า ทำไมถึงชื่อ วัดพระธาตุช้างค้ำ แต่พอเดินเข้าไปดูตรงส่วนของพระธาตุ
ก็ถึงบางอ้อ
บริเวณส่วนฐานของพระธาตุจะมีรูปปั้นช้างหลากหลายแบบ คอยค้ำพระธาตุอยู่นี่เอง
เราชมภายนอกวัดกันเสร็จแล้ว เดี๋ยวเราเข้าไปไหว้พระประธานด้านในกันต่อ
พระประธานของวัดช้างค้ำสวยมากครับ ภายในโบสถ์มีจิตรกรรมที่สวยงาม สีแดงกับเหลืองทองนี่ก็เข้ากันได้ดีจริงๆ
วัดต่อไปอาจจะเดินเท้าไปไม่ได้นะครับ ไกลออกไปนิดนึง ต้องปั่นจักรยานหรือขับรถไป
วัดสวนตาล เป็นอีกวัดนึงที่มีประวัติอันยาวนาน เราอยู่วัดนี้กันไม่นาน เพราะเย็นมากแล้ว เดี๋ยวจะขึ้นไปชมพระธาตุเขาน้อยไม่ทัน
เรามาถึงกันแล้ว และนี่คือทางที่ต้องเดินเท้าขึ้นไป แค่เห็นก็เหนื่อยแล้วเนาะ
แต่ความเห็นเราตรงกันว่า “ขับรถขึ้นไปเถอะ” เพราะยังไงรถก็ขึ้นถึงอยู่แล้ว และเย็นมากแล้วด้วย
และจุดชมวิวนี้ผมคิดว่าหลายคน คงรู้จักกันดีถ้าพูดถึงน่าน
จุดนี้เมื่อเราขึ้นไป จะรู้เลยครับว่าไม่ได้สูงมากนัก แต่สามารถมองเห็นวิวตัวเมืองน่าน
ได้เกือบ 180 องศากันเลยนะ
พอใกล้มืดเรารีบลงจากวัดพระธาตุเขาน้อย ไปเดินหาไรกินกันแถวงานแข่งเรือ ก่อนที่เข้าที่พัก นอนเอาแรงไว้สำหรับพรุ่งนี้
อันที่จริงน่านตอนกลางคืนนั้น ไม่ได้เงียบเหงานะครับ โซนแถวๆ หน้าค่ายจะมีร้านอาหาร เยอะพอสมควร และถ้าเป็นคืนวันเสาร์ จะมี “กาดน่าน” ที่เป็นถนนคนเดิน ให้ เดิน กิน เที่ยวกันได้ แต่คืนนี้ที่ผมอยู่น่านดันเป็นคืนวันศุกร์เลยไม่มีถนนคนเดิน เราเลยหากินเอาแบบง่ายๆ ในงานแข่งเรือนี่แหละ
แต่ก็นะกินข้าวเย็นกันเสร็จแล้ว ก็ต้องต่อด้วยของหวานสักหน่อย และพลาดไม่ได้กับ “บัวลอยป้านิ่ม” ซึ่งอยู่ตรงข้ามวัดศรีพันต้น นั่นเอง
พอตกค่ำ ร้านบัวลอยป้านิ่ม ถือว่าเป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวเลยล่ะ คนเยอะใช้ได้เลย
นอกจากบัวลอยไข่หวานอันขึ้นชื่อแล้ว ยังมีไอติมบัวลอยด้วยนะครับ ไปน่านแล้วอย่าลืมไปลองล่ะ
ถึงแม้จะมีโซนด้านในให้นั่งตากแอร์สบายๆ แต่เชื่อป่าวครับว่ามีแต่คนนั่งด้านนอกกัน ก็วิวมันดี แถมอากาศก็ดีแบบไม่ต้องพึ่งแอร์
———————–
ตื่นเช้ากันแล้ว วันนี้เราจะไปเดินลุยตลาดสดกัน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมเทวราช และสามารถเดินเท้าจาก เฮือนกำกิ๋น ที่พักของผมได้เช่นกัน
แนะนำให้ไปกันเช้าๆ นิดนึงนะ จะได้ทันใส่บาตร
ตลาดตั้งจิตนุสรณ์(ตลาดเช้า) ผมถือว่าเป็นอีกสถานที่นึงที่ไม่ควรพลาดนะครับ ของกินพื้นเมืองหลากหลาย
มื้อเช้านั้นแทบจะต้องไม่ต้องไปกินที่ไหนเลยครับ มาที่นี่ที่เดียวครบครันทั้งของหวานของคาว
แคปหมู ไส้อั่วและน้ำพริกหนุ่มของป้าจม ทีแรกเราซื้อสุ่มๆไปโดยไม่รู้หรอกครับว่าอร่อย ผมบอกตรงๆ จ้าวดังในตลาดวโรรสเชียงใหม่ยังสู้ไม่ได้
อีกอย่างนึง ที่อยากให้ลองคือ “ไกยี” เป็นสาหร่ายน้ำจืด จากลำน้ำน่าน ร้านอยู่ตรงข้ามกับร้านป้าจมนั่นแหละครับ
เณรน้อยรูปนี้ กำลังให้พร เสียงดังสนั่นทั้งตลาดเลยล่ะ เอาเป็นว่าได้รับพรกันทั่วถึง
มะนาวน่าน ลูกใหญ่ เปลือกบาง น้ำเยอะ แถมราคาถูก พวกผมซื้อรวมๆ กันแล้วเกือบๆ 20 กิโลแน่ะ
“สาวปากนาย” ห่อหมกปลาลำน้ำน่าน พ่อค้าเชียร์จังว่าอร่อย เห็นแล้วน่าทาน ผมเลยซื้อไปสองห่อ
อีกอย่างที่ประทับใจคือ ดอกไม้ใบเตยครับ มีที่นี่ที่เดียวเท่านั้น พี่คนขายเค้าจดลิขสิทธิ์ด้วย
พี่เค้ารับทำช่อดอกไม้สำหรับรับปริญญา และงานต่างๆ ด้วยนะครับ แบบนั้นมีให้เลือกมากกว่านี้ แต่พี่เค้าอนุญาตให้ถ่ายได้เท่าที่โชว์ ใครสนใจโทรได้ที่[087-5770356] ราคานั้นบอกได้คำเดียวว่า ถูกจนน่าตกใจ
เอาล่ะหลังจากหอบของกินจากตลาดกันมาแล้ว เราก็ได้เวลากลับที่พักไปกินมื้อเช้ากันล่ะ
เฮือนกำกิ๋นนั้น แถมจักรยานฟรีหนึ่งคันต่อหนึ่งคนนะครับ แต่พวกเราเลือกที่จะเดินกันไปเอง เพราะหุ่นแต่ละคนนั้นคิดว่าปั่นจักรยานไปคงไม่สะดวก อิอิ
ราคาที่พักเฮือนกำกิ๋นนั้น รวมจักรยาน และมื้อเช้าด้วยนะครับ ราคานี้ถูกไม่ถูกคิดกันเองล่ะกัน
เมนูแรกที่ผมอยากแนะนำคือข้าวต้มมัดครับ ตรงข้ามกันร้านน้ำพริกหนุ่มป้าจมนั่นแหละ
ข้าวเหนียวนุ่มมาก กล้วยก็หวานและนิ่ม เป็นข้าวต้มมัดที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยกินเลย พูดจริงไม่ได้เวอร์ครับ
มาดูมื้อเช้าของกำกิ๋นกันบ้างว่าเค้าเสิร์ฟอะไรบ้าง อย่างแรกนี่เลย กาแฟสดครับ
อย่างทีสอง ก็มีไข่ดาว แฮม สลัดและขนมปังครับ รวมๆ กับของกินที่ซื้อมาจากตลาดนี่ ขอบอกว่าอิ่มแปร้เลย
มื้อนี้ผมลองกินหนมปังกับ ห่อหมกน่าน หน่อยล่ะกัน กินไปคำแรกต้องบอกได้เลยว่าเสียดายมากกก
ที่ซื้อมาแค่สองห่อ
อิ่มกันแล้ว เราไปตะเวนกันต่อครับ ที่แรกที่ไปคือลำน้ำน่านครับ เค้าแข่งเรือกันแต่เช้าเลย
อุปกรณ์ผมไม่ค่อยพร้อมถ่ายแนวนี้ เลยเก็บภาพได้นิดเดียว หลังจากยืนเชียร์ได้สักพัก
เราเปลี่ยนบรรยากาศไปชมพิพิธภัณฑ์น่านกันต่อดีกว่า
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน อยู่ตรงข้ามกับวัดพระธาตุช้างค้ำครับ
หากใครที่ใช้แผนที่จักรยาน พิพิธภัณฑ์น่าน จะเป็นสถานีที่ 3
ส่วนท่านใดอยากได้บรรยากาศคลาสสิคหน่อย ก็เรียกใช้วินจักรยานรับจ้างได้ครับ อายุขนาดนี้แต่ปั่นได้ทั่วเมืองนะ..ขอบอก
นั่งรอจนเค้าเปิดล่ะ ที่นี้เราไปชมด้านในกันว่ามีอะไรบ้าง
ค่าเข้าชมนั้นแพงมากกกกกก ..20 บาท อิอิ
ในนี้จะบอกกล่าวความเป็นน่านไว้ทั้งหมด ได้ดูได้ชมได้อ่านแล้ว ถึงกับถึงบางอ้อในหลายๆ เรื่องครับ เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวนึงที่พลาดไม่ได้อีกเช่นกัน
พิพิธภัณฑ์น่านจะมีสองชั้นครับ ชั้นแรกนั้นจะเป็นเรื่องราวความเป็นมา และชนเผ่า
ชุดนี้แสดงถึงเรื่องราวการนอน ของชาวไทยลื้อสมัยก่อน นอนกันแบบง่ายๆ เนาะครับ
เครื่องมือล่าสัตว์ และเครืองมือจับปลา รวมไปถึงเครื่องมือทางการเกษตรต่างๆ
ผ้าทอของชาวไทลื้อสมัยก่อน
เรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมการสืบชะตา
ได้อ่านตรงนี้แล้ว ถึงได้รู้ว่าประเพณีแข่งเรือของจังหวัดน่าน เป็นประเพณีที่เก่าแก่มากครับ
ประเพณีสงกรานต์
เรื่องราวของชาวไทลื้อ ซึ่งถือว่าเป็นชนพื้นเมืองหลักของจังหวัดน่าน
ชุดแต่งกายของชาวไทลื้อสมัยก่อน วัดที่เห็นด้านหลังนั้น ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะใช่วัดภูมินทร์นะครับ
จังหวัดน่าน สมัยก่อนไม่ได้มีแค่ชาวไทลื้อนะครับ มีชาวเขาเผ่าอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
ชุดแต่งงานสมัยก่อน ผมมองแล้วทำให้นึกถึงชุดแต่งงานของชาวจีนสมัยก่อนเลย
ผีตองเหลือง ก็เป็นอีกเผ่าหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณจังหวัดน่าน
ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑสถานน่าน อยู่ที่นี่ครับ งาช้างดำ เป็นของคู่บ้านคู่เมืองน่าน
ดังคำขวัญที่ว่า”แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง”
ชั้นสองนอกจากจะมีงาช้างดำแล้ว ยังมีประวัติของพระพุทธรูปต่างๆ และพระพุทธรูปที่เป็นพระประธานของแต่ละวัดที่เราไปมาครับ
ก่อนกลับแวะถ่ายภาพจากระเบียงชั้นสองหน่อยเนาะ วัดที่เห็นอยู่นั่นคือ วัดพระธาตุช้างค้ำนั่นเอง
วันนี้เราจะเดินทางออกจากตัวเมืองน่านเพื่อไปดอยภูคากันครับ ต้องเดินทางไกลเลยแวะทานข้าวกันซะก่อนเลย
ร้าน Sweety9 เป็นทั้งร้านอาหารและร้านกาแฟ ร้านของฝาก ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองน่านเลยครับ
ร้านจะอยู่ตรงสี่แยก ที่จะไปสะพานข้ามแม่น้ำน่าน ร้านหาง่ายครับ ขับรถวนไปวนมา เดี๋ยวก็เจอ เพราะเมืองน่านเค้าเล็กจริงๆ
เป็นร้านกาแฟกลางเมือง ที่ตกแต่งได้อย่างลงตัวครับ โล่งๆ สบายๆ
จุดเด่นอีกอย่างนึงคือ ร้านทั้งร้านทำด้วยไม้ครับ ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง
ร้านจะมีสองชั้น ซึ่งวันนี้คนยังน้อย หากเป็นวันหยุดยาว คาดว่าชั้นสอง ก็คงเต็มด้วยเช่นกัน
และทางร้านก็ไม่ลืมที่จะชูสัญลักษณ์ของความเป็นน่าน นั่นคือ รูปของปู่ม่านและย่าม่าน
เรามาสั่งอาหารกันเลยดีกว่า ถึงแม้จะเป็นร้านกลางเมือง แต่ราคานั้นไม่แพงเอาซะเลยนะ
เมนูนี้ชื่อ ข้าวคลุกน้ำพริก ราคาเพียงแค่ 69 บาทเท่านั้นเอง
ส่วนผมยังอิ่มข้าวต้มมัดอยู่ เลยสั่งอาหารที่มันเบาๆ หน่อยนี่เลย สลัดธัญพืช (เข้ากับหน้าผมมาก) ราคา 59 บาท
ก็แหมนะมาร้านอาหารสุขภาพทั้งที ก็ต้องกินอาหารสุขภาพกันนิดนึงเนาะ
น้ำดื่มก็ต้องเพื่อสุขภาพด้วยสิ ถึงจะเข้าชุด
ของฝากก็มีให้เลือกกันเยอะ ที่สำคัญมีไปรษณียบัตรพร้อมส่งได้ทันทีด้วยนะ
เราออกเดินทางออกจากเมืองน่านกันไปสักพัก ก็ถึงอำเภอปัวล่ะครับ
เส้นทางไปดอยภูคานั้น ไม่เหมือนเดิมแล้วนะครับ ตอนนี้ทางทำใหม่หมดแล้ว ขับกันได้สบายๆ แล้วล่ะ
เรามาถึงกันแล้วล่ะ ขึ้นมาบนที่สูงแบบนี้บอกได้คำเดียวว่าชื้นตลอดวันเลยครับ ดูได้จากเมฆด้านบน
เราได้ทำการจองที่พักไว้ล่วงหน้าแล้วครับ และนี่คืออุณหภูมิของอากาศวันนี้เลย
ช่วงวันหยุดจะมีน้องๆ มานั่งประจำเป็นไกด์บอกเส้นทางการเดินทางให้ด้วยนะครับ น่ารักทุกคนเลย
และนี่คือที่พักของเราคืนนี้ บ้านภูคา 103 ราคาอยู่ที่ 800 บาท
ด้านนอกมีระเบียงไว้ให้นั่งผิงไฟ หรือปิ้งย่างกันได้ตามสะดวก
ห้องนอนมี 4 เตียง แต่ว่าเรามากัน 5 คนเลยต้องมีนอนเบียดกันสองคน แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเรา
เครืองทำน้ำอุ่นนั้นใช้แบบแก๊สครับ ร้อนเร็ว แถมปลอดภัย ห้องอาบน้ำและห้องส้วมจะแยกกันคนละห้อง
อ่างล้างหน้า กระติกน้ำร้อน ถ้วยกาแฟ แก้วน้ำ เรียกว่าทางอุทยานจัดให้พร้อมสรรพ
มีตู้เย็นให้ด้วยนะครับ เรียกว่าที่พักที่นี่เกินมาตรฐานอุทยานจริงๆ
เก็บข้าวเก็บของกันเสร็จแล้ว ตอนนี้เราไปบ่อเกลือกันต่อครับ
ก่อนถึงบ่อเกลือจะมีร้านกาแฟ และร้านค้า ตรงจุดนี้จะเป็นจุดชมดอกชมพูภูคาด้วยนะครับ ถ้าถึงฤดูออกดอก
ถัดไปนิดเดียวจะเป็นจุดชมวิวของอุทยานดอยภูคา ซึ่งจุดนี้จะเป็นจุดทีเราจะมาดูหมอกกันในเช้าพรุ่งนี้
ผมแนะนำให้คนที่ต้องการกางเต๊นท์ ให้มากางที่นี่เลยครับ มีลานกางเต๊นท์ ห้องน้ำ ร้านค้าพร้อม
ตื่นมาก็ชมทะเลหมอกได้เลย
เอาล่ะเราไปกันต่อครับ บ่อเกลือ คือเป้าหมายสุดท้ายของวันนี้
เส้นทางนั้นคดเคี้ยว ต้องขับระวังนิดนึงนะ โชคดีที่ถนนนั้นทำใหม่หมดแล้ว เลยไม่อันตรายเท่าไหร่
แป๊บเดียวก็มาถึงแล้วครับ บ่อเกลือสินเธาว์โบราณ ที่เดียวในประเทศไทย เค้าว่างั้นนะ
บ่อเกลือนี้เค้าห้ามผู้หญิงขึ้นไปนะครับ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
แต่มันก็แปลกนะ บ่อเกลือนี้อยู่ติดกับคลองน้ำจืด แต่ดันมีน้ำเค็มที่เอามาทำเกลือได้
บ่อเกลือนี้คือบ่อที่ 1 ครับ ซึ่งบ่อนี้เค้าหยุดผลิดเกลือไปแล้ว คนแถวนั้นเค้าบอกผมแบบนี้นะ
รอบๆ บ่อเกลือก็จะมีผลิตภัณฑ์จากเกลือจำหน่าย แต่ร้านค้ามีแค่ 2-3 ร้านเองครับ เงียบมาก
เจ้านี่คือเครื่องมือที่ขายให้สาวๆ เอาไว้จับผิดแฟน …อิอิ มันคือเครื่องมือจับปลาไหลครับ
หน้าบ่อเกลือ มีร้านขายกาแฟสดด้วยนะครับ รู้สึกเจ้าร้านกาแฟนี่ มันระบาดไปทุกที่จริงๆ
เราไปดูบ่อเกลือบ่อทีสองกัน ซึ่งบ่อนี้เค้าบอกเป็นบ่อเกลือสินเธาว์ภูเขาแห่งเดียวในโลก!!
(บ่อแรกแห่งเดียวในไทย บ่อสองแห่งเดียวในโลก…เอาซักอย่างเถอะนะ)
บ่อเกลือที่ 2 นี่เค้ากำลังผลิตอยู่พอดี เราเข้าไปดูกันเลย
วิธีการก็คือตักน้ำมาจากบ่อเกลือมาต้มครับ ต้มให้แห้งจนได้เกลือ แล้วเอาไปพักไว้จนเย็น เสร็จแล้วก็ตักใส่ถุงขายได้เลย
และนี่คืออีกเตานึงที่น้ำเริ่มแห้งแล้ว
ผมนั่งคุยกับลุงเสวียง(เจ้าของบ่อ) แบบถูกคอเกือบชั่วโมง แต่ไม่รู้สึกว่าร้อน หรือมีควันเข้าจมูกแต่อย่างใดเลย
ลุงเสวียงเล่าว่า วิธีการต้มเกลืออาจดูง่ายๆ แต่ที่จริงมันมีภูมิปัญญาหลายอย่าง ทั้งเรื่องก่อเตา ระดับความร้อน และการคนเกลือ
เรานั่งคุยกันหลายเรืองอย่างถูกคอ แถมลุงเสวียงชวนค้าง และกินข้าวที่บ้านด้วย แต่พวกผมเกรงใจเลยต้องขอตัวกลับ
ก่อนกลับที่พัก ไหนๆ ก็เย็นแล้ว เราเลยแวะกินข้าวเย็นกันที่นี่เลยครับ “อุ่นไอมาง โฮมสเตย์”
อุ่นไอมาง เป็นโฮมสเตย์ใกล้ชิดธรรมชาติมากครับ ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำเลย
อากาศยามเย็นของบ่อเกลือ กับที่พักใกล้ชิดธรรมชาติแบบนี้ บ่องตงผมอยากนอนซะที่นี่เลย
ที่พักนั้นจะมีสองแบบ คือกระท่อมริมน้ำ กับเต๊นท์สำเร็จรูป ซึ่งผมว่าเหมาะที่สุดแล้ว
สำหรับการนอนสูดอากาศบริสุทธิ์
อันที่จริงเราก็เล็งที่อุ่นไอมางไว้เหมือนกันครับ แต่เต็มซะก่อน เลยต้องไปนอนกันที่ อุทยานดอยภูคา
มาแวะคราวนี้เรามาแวะกินข้าว และถ่ายภาพเท่านั้น ตอนนี้รออาหารอยู่ เลยเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย
น้ำที่ไหลผ่านอุ่นไอมาง ใสและเย็น ถึงแม้จะไม่ลึกมาก แต่ก้อพอหาที่นอนแช่น้ำได้อยู่ครับ
กระท่อมที่ผมอยากแนะนำ เป็นกระท่อมติดน้ำเลย จากที่ผมสอบถาม ชื่อว่า บ้านต้นน้ำ
ส่วนราคานั้นอยู่ที่ 700 กว่าบาท ราคาปัจจุบันกรุณาสอบถามโฮมเสตย์โดยตรงนะครับ ที่081-374-7004
อากาศตอนเย็นๆ ที่บ่อเกลือต้องแรียกว่าแหล่มมาก ถึงแม้จะมีครึ้มๆ บ้างแต่ก็ไม่มีฝนตก
ใกล้ริมน้ำแบบนี้ ถ้าหนาวจัดๆ ผมเดาว่าหมอกคงไม่น้อยแน่ๆ เลย
และแล้วก็ได้เวลามื้อเย็นซะที ผัดฟักแม้วราดข้าว กินแบบง่ายๆ ตามสไตล์โฮมเสตย์ เนาะ
ส่วนนี่เป็นห้องนำของที่นี่นะครับ เรียบง่ายสไตล์โฮมเสตย์ แต่หน้าหนาวนี่ ไม่อยากนึกถึง 55+
อ่างล้างหน้าเค้าก็เน้นเรียบๆ นะ เพื่อให้เข้าบรรยากาศของรอบๆ
หลังจากฟาดฟักผัดหมด เย็นนี้เราไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกกันที่ลานดูดาว ของอุทยานแห่งชาติดอยภูคากันครับ
มีทั้งลานดูดาว ลานดูเดือนนะครับ ซึ่งสองจุดนี้ทางอุทยานเค้ามีไว้ให้กางเต๊นท์ มีห้องน้ำทุกอย่างพร้อม
ช่วงท่องเที่ยวคงไม่โล่งอย่างที่เห็นแน่ๆ
—-
เช้าวันใหม่เราตื่น แล้วรีบบึ่งไปจุดชมวิวกันก่อนเลยดีกว่า
เราสายกันไปนิด แต่จากที่ถามเจ้าหน้าที่เค้าบอกว่าวันนี้หมอกไม่เยอะเท่าไหร่
ใครอยากชมทะเลหมอก ต้องรอปลายเดือนธันวานะครับ เจ้าหน้าที่เค้าบอกว่างั้น
เอาล่ะ เราต้องกลับกันแล้ว ขากลับเจอวิวแจ่มๆ แถวๆ ฝายจ้าว มันก็อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพมาฝากกัน
เราย้อนกลับเข้าตัวเมืองน่านอีกครั้งครับ เนื่องจากเห็นตรงกันว่าต้องกลับไปซื้อ ไกยี ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม แค๊ปหมูและข้าวต้มมัด แต่เรามาช้าไปครับ เลยได้ไม่ครบทุกอย่าง มื้อสายวันนี้เราเลยชิมต้มเลือดหมูชื่อดัง ร้านเลิศรส
ความพิเศษของเลือดหมูที่นี่จะนิ่มเหมือนเยลลี่ครับ และมีน้ำจิ้มเฉพาะมาให้ด้วย
แล้วร้านเลิศรส อยู่ตรงไหนล่ะ ก็ตรงข้ามกับ Sweety9 นั่นแหละครับผม
หมดเวลา เวลาหมดสำหรับน่านแล้วครับ ต่อไปในขากลับ เป้าหมายของเราคือ จังหวัดแพร่
แน่นอนทีสุดครับ แวะแพร่ ไม่แวะแพะเมืองผี ก็คงจะไม่ได้อะนะ
วันนี้แดดแรงได้ใจ ถ้าเสาดินนาน้อยที่น่านแดดดีแบบนี้ก็คงจะดี
แพะเมืองผี และเสาดินนาน้อยที่น่าน นั้นมีลักษณะเหมือนกันครับ แต่เสาดินนาน้อยนั้นจะมีรูปร่างหลากหลายกว่า
ความสวยงามเลยแตกต่างกันออกไป ถ้าใครผ่านก็อยากแนะนำให้แวะทั้งสองที่เลยนะ
แพะ ภาษาพื้นเมืองแปลว่า ป่าละเมาะ เมืองผี หมายถึง ความวังเวง แพะเมืองผี ก็คือ ป่าละเมาะที่วังเวงนั่นเอง
ทานข้าวเที่ยงกันแล้ว เราไปกันต่อที่นี่ครับ “พระธาตุช่อแฮ” พระธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปีขาล
ก่อนอื่นอย่าลืมไปไหว้พระในโบสถ์กันก่อนนะครับ ข้างทั้งสวย ทั้งอลังการมาก
เป็นอีกหนึ่งพระธาตุครับ ที่ต้องบอกว่าสวยงามจริงๆ วันนี้วันอาทิตย์คนเยอะใช้ได้เลย
เวลาองค์พระธาตุเจอแสงอาทิตย์ สีเหลืองทองสะท้อนออกมา สวยมากๆ เลยครับ
ชาวคณะผมคนนึงเกิดปีขาลพอดี เลยได้ทีทำบุญกับพระธาตุประจำปีเกิดซะเลย
นี่ก็เริ่มเย็นแล้วครับ แต่เรายังไม่กลับ ยังมีที่ที่สุดท้ายที่เราต้องแวะก่อนกลับกรุงเทพฯ นั่นคือ
วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีสามัคคีธรรม
วัดพระธาตุสุโทนฯ เป็นวัดสถาปัตยกรรมแบบพม่าผสมล้านนาครับ ด้านหน้าวัดมีพระนอนขนาดใหญ่
เห็นเด่นชัดมากครับ ถ้าขับรถผ่าน
เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามครับ แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมถึงปล่อยให้สภาพเสื่อมโทรมไปหน่อย
นอกจากหน้าวัดที่สวยงามแล้ว ด้านในยังพระธาตุบารมี 30 ทัศ ด้วยนะ เดี๋ยวเราขึ้นไปชมกัน
ต้องเดินขึ้นมาด้านบนก่อนนะครับ เราจึงจะเห็นมุมแบบนี้ได้
ด้านในวัดจะมียักษ์สองตนเฝ้าประตู ก่อนจะเข้าไปยังพระธาตุบารมี 30 ทัศ
พระธาตุบารมี 30 ทัศ ซึ่งหมายถึง บารมีของพระพุทธเจ้า 30 ประการ
เป็นศิลปะแบบล้านนาที่ผสมผสมผสานกันหลายๆ แบบ
ตัวเจดีย์จะเป็นสีเหลืองทอง รายล้อมไปด้วยช้างค้ำ
ตัวอุโบสถจะอยู่ถัดมาจากพระธาตุ ต้องถอดรองเท้าเข้าไปนะครับ ตอนผมไปแดดร้อนมาก
ต้องกระโดดโหยงๆ เลยทีเดียว
แต่พอเข้าไปในโบสถ์แล้ว เย็นสบายครับ แถมสวยงามอลังการ สไตล์วัดทางเหนือ
ทริปนี้ต้องบอกผมไหว้พระกันหนำใจเลยทีเดียว จนนับไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากี่วัด
ยังไม่หมดเท่านี้นะครับสำหรับวัดนี้ เดี๋ยวเราเดินไปชมอีกโซนนึงกันเลยดีกว่า
อีกโซนนึงจะเป็นวิหารพระมุญมณี ซึ่งยังก่อสร้างไม่เสร็จ แต่จากที่ดูๆ แล้ว
รู้สึกว่าจะหยุดการก่อสร้างมานานแล้วนะ
วิหารพระมุญมณี จำลองมาจากเมืองมัณดาเลย์ ประเทศพม่า
วิหารนั้นค่อนข้างใหญ่ แต่พื้นที่รอบๆ นั้นแคบนิดเดียว ใครอยากถ่ายภาพแบบเก็บหมด
ก็ต้องเตรียมเลนส์ไปให้พร้อมด้วยเด้อ
ผมเองแทบจะนอนลงกับพื้นกว่าจะถ่ายภาพแต่ละภาพได้ เพราะใช้แค่เลนส์ธรรมดา
พอดีมีตังค์ซื้ออแค่นี้น่ะ แหะๆ
ถ้าใครชอบถ่ายรูปแนวนี้ ผมบอกได้เลยว่า วัดนี้วัดเดียวก็เกินพอ มุมเยอะมากๆ
แต่ผมนั้นต้องทำเวลา เพราะยังต้องเดินทางอีกไกล เลยเก็บภาพมาฝากกันได้แค่เพียงเท่านี้
หลังจากนั้นผมและชาวคณะ ก็เดินทางกลับกรุงเทพ กว่าจะถึงที่พัก กันก็ 5 ทุ่มกว่ากันแล้วล่ะ
———————-
การเดินทางไปน่าน
การเดินทางไปน่านโดยรถยนต์ หากเดินทางจากกรุงเทพ ผมใช้เส้นทางสายเอเชียครับ ถนนหมายเลข32 ผ่านอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี และนครสวรรค์จากนั้น ก็วิ่งเส้น 17 ไปพิษณุโลกต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 11 ไปอุตรดิตถ์ ผ่านอำเภอเด่นชัย แล้วก็เข้าจังหวัดแพร่ สุดท้ายใช้ทางหลวงหมายเลข 101 เข้าน่านครับ ถนนดี วิ่งง่ายครับ มีป้ายบอกหมายเลขถนนตลอดไม่ต้องกลัวหลง รวมๆ แล้วน่าจะประมาณ 700 โลน่าจะได้
การเดินทางโดยเครืองบินสนามบินน่านจะอยู่ไปทางโรงพยาบาลน่านนะครับ ถ้าผมจำไม่ผิด แต่ไม่แน่ใจว่ามีสายการบินไหนให้บริการบ้างนะ
การเดินทางโดยรถทัวร์บริษัทขนส่งน่านอยู่ใกล้ๆ กับตัวเมืองเลยครับ ดังนั้นหากไปรถทัวร์ ก็ถือว่าเป็นอีกวิธีการเดินทางนึง ที่สะดวก
รีสอร์ท ที่พักน่าน
ที่พักน่านถ้าเป็นในตัวเมืองน่าน ต้องบอกว่าที่พักเยอะมาก ถึงแม้ตัวเมืองน่านจะเล็กก็เถอะ ไม่ว่าซอยไหน ก็จะมีชื่อ บ้านพัก หรือ เกสต์เฮ้าส์ให้เห็นอยู่ตลอดครับ ส่วนโรงแรมที่เห็นหลักๆ ก็มีจะมี โรงแรมเทวราช ถัดไปก็เป็นโรงแรมน่านฟ้าซึ่งเป็นไม้สักทั้งหลัง ผมเลือกพักที่ “กำกิ๋น” ซึ่งอยู่กลางเมือง ราคาคืนละ 800 บาทสำหรับ 4 คน (ราคาปัจจุบันกรุณาสอบถาม กำกิ๋น โดยตรง) ใกล้ตลาดสด ชั้นล่างของ กำกิ๋น จะเป็นร้านอาหารครับ ส่วนด้านบนจะเป็นห้องพัก มีห้องน้ำในตัวและ มีห้องน้ำรวมให้อีก 2 ห้อง และมีที่จอดรถที่ปลอดภัย เป็นที่พักน่านราคาถูกที่เรียกว่าเกินคุ้มครับ
สำหรับที่พักบนดอยภูคาผมและชาวคณะเลือกพักที่พักของอุทยานดอยภูคาเลย ซึ่งแน่นอนว่า ราคาถูก คืนละ 800 (ราคาปัจจุบัน กรุณาสอบถามอุทยานโดยตรง) กว้างขวางและสะดวกสบาย มีลานระเบียงข้างห้องให้นั่งปิ้งย่าง ตั้งวงกันได้ตอนกลางคืน ต้องขอบอกว่าห้องพักและ ผ้าปู ผ้าห่ม เค้าสะอาดมาก ไม่ค่อยมีกลิ่นอับ ทั้งๆ ที่อุทยานอยู่ในพื้นที่ที่ชื้น ส่วนห้องพักที่อยากแนะนำคือห้องพัก โซน ภูคา106 ครับ เพราะมีหลายห้อง ทำให้ไม่ดูเปลี่ยวในตอนกลางคืน มีที่จอดรถหน้าห้องพัก มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลตรงจุดนี้ทั้งคืน ที่สำคัญไปกว่านั้น ถ้าวันไหนมีทะเลหมอก ก็สามารถชมได้หน้าที่พักกันเลยทีเดียวล่ะ ส่วนผมพักโซน ภูคา103 มองทะเลหมอกไม่ค่อยเห็นต้องเดินเกือบๆ 300 เมตร เพื่อไปดูทะเลหมอกที่โซนห้องพัก 106
ที่พักบ่อเกลือ
จากที่ผมผ่านไปนั้น ที่พักถือว่ายังมีอยู่น้อยครับ ที่ดังๆ หน่อยก็คงจะเป็น อุ่นไอมาง โฮมสเตย์ ซึ่งผมไม่ได้พักที่นี่นะครับ แค่แวะไปทานข้าวและชมบรรยากาศเฉยๆ ราคานั้นจากทีสอบถาม ก็อยู่ที่ประมาณ 700 กว่าบาทเองครับ
ร้านอาหารน่าน
ร้านอาหารในน่านนั้น ผมเองไปทริปนี้ไม่ได้หาข้อมูลเรืองนี้ไปเลยครับ เพราะกะจะไปเดินหากินอาหารพื้นเมืองของน่านเอาข้างหน้า แต่เท่าที่ไปได้ลองสัมผัสมาก็จะเป็น ร้าน Sweety 9 ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองน่านเลย ที่นี่มีกาแฟสด อาหารจานเดียว อาหารเพื่อสุขภาพ ของฝาก เรียกว่าครบครันครับ อีกทั้งบรรยากาศในร้านนั้นตกแต่งได้อย่างน่ารัก น่านั่งกันเลยทีเดียว ถึงแม้จะเป็นร้านที่อยู่กลางเมือง แต่ขอย้ำนะครับว่าอาหารราคาไม่แพงอย่างที่คิด
ร้านเลิศรส เป็นอีกร้านที่อยากให้ลองครับ อยู่ตรงข้ามกับ Sweety 9 นั่นแหละ หากหาไม่เจอก็ให้มองหาโรงแรมเทวราชครับ ร้านนี้จะอยู่เยื้องกับโรงแรม ร้านเลิศรสขาย เกาเเหลาเลือดหมู โจ๊ก บะหมี่ครับ คนแน่นเต็มร้านตลอด หากไปน่าน ก็ต้องลองแวะชิมดูนะครับ
สำหรับผมแนะนำให้ไปเดินหาของกินในตลาดสดครับ ตลาดจะอยู่ตรงข้ามกับ โรงแรมเทวราช และโรงแรมน่านฟ้านั่นแหละครับ จะเป็นตลาดสดตอนเช้า ของกินพื้นเมืองเยอะมาก ถ้าไปเช้าหน่อย ก็สามารถใสบาตรที่หน้าตลาดได้เลยครับ มีพระมาบิณฑบาตรทุกวัน และพลาดไม่ได้ที่ต้องลองคือ น้ำริกหนุ่มและแคปหมูของป้าจม ตอนซื้อพวกผมซื้อสุ่มๆ กันไปอย่างนั้นแหละครับ แต่ที่ไหนได้ อร่อยสุดๆ ผมพูดจากใจเลยว่า อร่อยกว่าร้านดังที่เชียงใหม่ซะอีก อีกอย่างที่อยากให้ลองคือ “ข้าวต้มมัด” ข้าวเหนียวเค้านิ่ม กล้วยหวาน หอมอร่อย นี่เป็นเมนูที่ผมชอบมากที่สุดสำหรับทริปน่านนี้เลย อย่าพลาดล่ะ
สถานที่ท่องเที่ยวน่าน
ทริปน่านคราวนี้ผมเที่ยวเยอะมาก เรียงลำดับจากวันแรก ก็จะเป็น ดอยเสมอดาว อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ผาหัวสิงห์ เสาดินนาน้อย ข้าวซอยต้นน้ำ วัดมิ่งเมือง วัดภูมินทร์ วัดช้างค้ำวรวิหาร ปู่ม่าน ย่าม่าน บัวลอยป้านิ่ม วัดหัวข่วง วัดกู่คำ พระธาตุแช่แห้ง พระธาตุเขาน้อย วัดสวนตาลพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ตลาดเช้าน่าน ประเพณีแข่งเรือน่าน sweety9 บ่อเกลือ อุ่นไอมาง โฮมสเตย์ พระธาตุช่อแฮ วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีสามัคคีธรรม พระธาตุบารมี 30 ทัศ เรียกว่า เกือบๆ ทั่วน่า่นเลย ส่วนขุนสถานผมก็ผ่านนะครับ แต่ดอกชมพูภูคายังไม่ออก ซึ่งอาจต้องมีการรีทริปอีกก็เป็นได้
เหตุผลนึงที่ทริปนี้ผมเที่ยวได้เยอะ เนื่องมีเพื่อนที่ชำนาญเรืองเส้นทางและการขับรถไปด้วย เราเลยค่อนข้างที่จะทำเวลาได้ดี เป็นอีกทริปนึงครับที่ผมประทับใจในทุกเรื่องๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทริป แหล่งท่องเที่ยว อาหาร คนเมืองน่าน รวมไปถึงค่าใช้จ่าย ทริปน่านนี้บอกตรงๆ ผมไม่ค่อยเน้นถ่ายภาพเท่าไหร่ จะเน้นทำเวลาเพื่อเที่ยวให้ได้เยอะๆ มากกว่า แต่เวลาที่มันมีความสุข คนเรามันก็มีบ้างที่ทำในสิ่งที่ชอบโดยไม่รู้ตัว ไปๆ มาๆ ผมถ่ายภาพเยอะกว่าทุกๆ ทริปที่ผ่านมา อีกทั้งภาพถ่ายที่นำมาใช้เล่าเรืองในทริปนี้ก็เยอะมากๆ ดังนั้นอาจต้องขอภัยหากทริปนี้โหลดช้าไปนิด แต่ก็หวังว่าคงมีประโยชน์สำหรับท่านที่ต้องการหาข้อมูลท่องเที่ยวน่านบ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
คลิปไหว้พระ 9วัด น่าน ปี2016
ขอบคุณที่ติดตาม ขอบคุณมากมาย ขอบคุณอย่างแรง นายหัว
อุปกรณ์:
กล้องดิจิตอล : Olympus OMD EM5
เลนส์ : Panasonic 14mm/F2.5 ,25/f1.4,zuiko 12-50/f3.5-6.3