น้ำตกพลิ้ว ขลุง จันทบุรี 3 วัน 2 คืน
จันทบุรีเป็นอีกจังหวัดนึงที่หลายคนมองข้าม หากเราพูดถึงการท่องเที่ยวทางทะเลตะวันออก เพราะคนส่วนใหญ่จะมุ่งหน้าไปตราดกับระยองกันซะมากกว่า แต่สำหรับผมแล้ว จันทบุรีนี่แหละคือการไปเที่ยวทะเลในแบบที่ได้ใกล้ชิด กับทะเลมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นที่พักริมทะเลแบบโฮมเสตย์ อาหารทะเลสดๆ จากประมงพื้นบ้าน และท่องเที่ยวชาดหาดที่เงียบสงบ เหตุผลที่หลายคนมองข้ามทะเลจันทบุรี เนื่องจากเป็นทะเลที่ไม่สวย หากเทียบกับจังหวัดอื่นที่ใกล้เคียง แต่สำหรับผมแล้วทะเลไม่จำเป็นต้องสวยงามครับ บรรยากาศต่างหากล่ะที่สำคัญ
ผมเดินทางจากกรุงเทพใช้มอเตอร์เวย์ ชลบุรี ผ่านด่านพานทองจากนั้น ไปทางอำเภอแกลง เลี้ยวซ้ายอีกทีที่บ้านบึง วิ่งตรงไปเรือยๆ เจอป้ายบอกเลี้ยวขวาเข้าจันทบุรี เราไปหามื้อเช้ากินกันในตัวเมืองก่อนครับ
ร้านหาง่ายครับ หากไปไม่ถูกให้หาสถานีตำรวจ ร้านจะอยู่หลังสถานีตำรวจ ข้ามสะพานมา มองซ้ายมือ ก็จะเจอป้ายแบบนี้เลยครับ
เมนูที่ผมสั่งคือไข่กระทะ และขนมปังญวณ กับน้ำส้มคั้น ขอบอกว่าน้ำส้มคั้นเค้าอร่อยมากกกกกก ครับ
จากนั้นเราไปไหว้พระนอนที่วัดไผ่ล้อม เพื่อเป็นศิริมงคลก่อนครับ
ไหว้พระแล้ว ก็ไปชมความงดงามของโบสถ์พระแม่มารี ปฏิสนธินิรมล
ถือว่าเป็นโบสถ์คริสต์ของชาวจันทบุรีเค้าเลยล่ะครับ
ผมเคยมาที่นี่แล้วครั้งนึง ขอบอกว่าแม้อากาศด้านนอกจะร้อนแค่ไหน
แต่พอเข้ามาด้านในคุณจะรู้สึกเย็นทันทีเลยล่ะ
วันนี้คนเยอะ ผมเลยไม่อยากไปรบกวนเค้านัก เดี๋ยวเราเดินไปเที่ยวชมชุนริมน้ำที่ติดกับโบสถ์กันดีกว่าครับ
สรุปแล้วฝั่งที่ติดกับชุมชนริมน้ำนั้น เป็นด้านหน้าของโบถส์นะครับ ทีแรกผมดันคิดว่าเป็นด้านหลัง
จะไปชุมชนริมน้ำจันทบูรนั้นเราต้องข้ามแม่น้ำไปครับ โดยสะพานนิรมลจะติดกับโบถ์พระแม่มารีเลย
ที่เห็นในภาพนั้นคือชุมชนริมน้ำจันทบูร เป็นชุมชนในมืองก็จริง แต่ดูสงบและเรียบง่ายมากๆ ครับ
ถึงแม้จะเป็นชุมชนทีอยู่ในเมือง แต่การดูแลแม่น้ำที่นี้ต้องยกนิ้วให้เลย น้ำใสสะอาดสุดๆ
พอข้ามฝั่งไปจะมีแผนที่ท่องเที่ยวของชุมชนริมน้ำให้ดูเป็นไกด์ไลน์ครับ ว่าจุดไหนมีที่เที่ยวหรือที่กินตรงไหนบ้าง
เมื่อข้ามสะพานมาเราจะอยู่ในตรอกสุขาภิบาล 1 ซึ่งถ้าดูในแผนที่แล้ว ก็จะอยู่ยังจุดตั้งต้นเลย
พอเจอถนนปั๊บก็ให้เลี้ยวขวาเลยครับ ส่วนถ้าไปทางซ้ายก็จะมีร้าานก๋วยเตี๋ยวและตลาดพลอย
เดินไปเรื่อยๆ เราจะเจอสถานที่ที่เคยถ่ายทำโฆษณา “ดู ดู๊ ดู ดูเธอทำ ทำไมถึงทำกับฉันได้” เค้าว่างั้นนะ
สภาพตึกของที่นี่จะเป็นตึกเก่าสมัยก่อน ยังคงไว้เรียกว่า เกือบ 95% ครับ
ส่วนที่เหลือก็เป็นตึกรุ่นใหม่ปะปนไปบ้าง
ที่นี่คือ บ้านเรียนรู้ชุมชน เป็นอีกที่นึงที่ต้องแวะครับ แล้วคุณจะรู้ว่าชุมชนแห่งนี้มีที่มาอย่างไร
ที่นี่จะเป็นอาคารไม้สองชั้น ข้างในประกอบไปด้วยภาพถ่าย และนิทรรศการเล็กๆ ทีบอกถึงที่มาและอนาคตของชุมชนแห่งนี้
มีมุมสวยๆ น่ารักๆ และชุดแบบชาวจันทบุรีสมัยเก่าให้เช่าถ่ายรูปกันด้วยล่ะครับ
นอกจากตัวตึกแล้ว อุปกรณ์เครืองใช้ต่างๆ ในนี้ก็ยังเป็นแบบดั้งเดิมทั้งหมด
มีทั้งภาพวาด และภาพถ่ายของชุมชน ซึ่งเราสามารถอุดหนุนบ้านเรียนรู้ชุมชนได้ในราคาไม่แพงครับ
ด้านนอกสุดจะเป็นระเบียงโล่ง มุมนี้ผมชอบมาก เพราะสามารถมองเห็นถนนของชุมชนนี้ในมุมสูง
ที่นี่เค้าเคยจัดประกวดถ่ายภาพชุมชนครับ ดังนั้นเราจะเห็นภาพถ่ายมุมสวยๆ เยอะมาก
ถึงแม้ที่นี่จะดูแลโดยภาคเอกชน แต่เป้าหมายนั้นก็เพื่อส่วนรวมล้วนๆ ครับ ซึ่งยังมีโครงการอีกหลายอย่างที่ต้องดำเนินการต่อ
ใช้เวลาไม่นานครับ ผมก็เดินชม บ้านเรียนรู้ชุมชนจนทั่วแล้วล่ะ
สิ่งที่น่าสนใจของทีนี่ นอกจากจะเป็นตึกเก่าแล้ว ของกินก็เป็นอีกอย่างครับ ที่เรียกว่าพลาดไม่ได้
ผัดไทยเส้นจันท์ ผมบอกได้คำเดียว่าอร่อยเวอร์ สามารถหาซื้อได้ตามข้างทางนีแหละครับ บอกไว้ก่อนว่าไปช้าอาจอดนะครับ
หากจะให้แนะนำผมแนะนำผัดไทยเส้นจันท์ที่อยู่ตรงข้ามกับโรงเจเทียงเซ็งตึ๊ง เส้นเค้าฉ่ำ นิ่ม แถมปูก็ตัวเป้งๆ เลยล่ะ (ไม่ได้เป็นร้านครับ แค่เป็นโต๊ะวางขายหน้าบ้าน)
ส่วนนี่เป็นข้อมูลเอามาฝากกันครับ เผื่อใครสนใจล่องเรืองเที่ยวแม่น้ำจันทบูร
ชื่อร้านนี้น่าสนใจ เป็นร้านนั่งดื่มชิลๆริมน้ำครับ แต่เค้าเปิดตอนเย็นนะ
ช่วงนี้อากาศเย็น ได้มานั่งริมน้ำที่สะอาดๆ แบบนี้ มันสดชื่นมากครับ อยากนั่งนานๆ เลยล่ะ
แต่เจ้าถิ่นค่อนข้างจะดุไปหน่อย ขอนั่งแป๊บเดียวเห่าไล่กันซะงั้น ขนาดจ้าของมาห้ามไว้ ก็ยังเห่าไม่หยุดเลย
แต่ถึงแม้เจ้าถิ่นจะเห่าแค่ไหน ผมก็หน้าด้านนั่งต่อไป ก็อากาศมันดีซะขนาดนี้ ใครจะอดใจไหว
คอนเฟิร์มครับ ว่าสะอาดจริงๆ ไม่มีขยะแม้แต่ชิ้นเดียว แถมหลังบ้านนั้นไม่มีตากผ้าให้ดูรกหูรกตาด้วย เป็นชุมชนที่เยี่ยมมากครับ
เอาล่ะ กลัวเจ้าถิ่นจะเห่าจนเจ็บคอ ผมผละจากบ้านกรู แล้วไปเดินเที่ยวกันต่อ
ไปต่อทางย่านท่าหลวงครับ เมื่อกี๊ที่ผมเดินมาคือย่านตลาดล่าง
เดินมาหน่อยก็เจอร้านส้มตำป้าภา บรรยากาศริมน้ำครับ ร้านโล่งน่านั่ง แต่อร่อยหรือเปล่านั้นผมไม่ได้ลองนะ
แค่เอามาฝากเป็นข้อมูลนะครับ
เดินต่ออีกนิดก็จะเป็นวัดเขตร์นาบุญญาราม เป็นสถาปัตยกรรมจีนผสมกับไทย
วัดไม่ใหญ่มากครับ มีเท่าที่เห็นนี่แหละ
เดินเหนื่อยๆ แบบนี้ผมขอรองท้องด้วย ก๋วยเตี๋ยวหมูเลียง ก่อนล่ะกัน
ร้านเจ๊จิ๋มเป็นก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงแบบโบราณ น้ำดื่่มบริการตัวเอง ที่นี่เค้ากินเป็นขันนะ ไม่ใช่เป็นแก้ว
เมนูที่ผมอยากแนะนำให้กิน และสมควรต้องกิน คือ สุกี้ห่อไข่ อร่อยสุดยอด
ส่วนน้ำจิ้มสุกี้ก็อร่อยจนต้องทำขายกันเลยทีเดียวขอบอก
อิ่มสุกี้ห่อไข่แล้ว ก็ไปหาไรดื่มที่บ้านจันดี ร้านกาแฟเล็ก ๆ น่านั่งแถมตกแต่งร้านได้เก๋ดีครับ
บ้านจันดีเป็นร้านกาแฟตกแต่งแนวอาร์ตๆ ภายในร้านไม่กว้างมาก แต่ไม่อึดอัด นั่งกินกาแฟกันแบบเพลินๆ
ผมขอเลือกนั่งหน้าร้านก็แล้วกัน รู้สึกวันมันได้บรรยากาศกว่าเนาะ
หรืออยากเปลี่ยนเป็นแบบเงียบๆ ส่วนตัว ก็เรียนเชิญชั้น 2 เลยครับ
แน่นอนครับการตกแต่งนั้นเป็นแนวย้อนยุคหน่อย
ชั้นสองนั้นกว้างมากเลยครับ บ้านจันดีเปิดกลางคืนด้วยนะครับ
เวลานี้อาจจะไม่มีคนมากนัก แต่จากที่ได้พูดคุยกับเจ้าของร้านแล้ว ช่วงหลังเที่ยงไป คนเยอะใช้ได้ทีเดียว
ที่เด็ดกว่านั้นคือมีภาพวาด 3 มิติให้ชมกันด้วยครับ อาจจะมีแค่ภาพเดียว แต่วาดได้เหมือนจริง มากเลยล่ะ
ผมเดินไปเรื่อยๆ จนถึงต้นซอย สะดุดตากับเจ้านี่มาก สอบถามคุณป้าเจ้าของบอกว่า เคยขี่ไปส่งลูกสมัยเรียนอนุบาล ทุกวันนี้ลูกอายุ 40 กว่าแล้วครับ (ทนสุดๆ)
เอาล่ะผมเดินจนสุดทางแล้วล่ะ ตอนขามาไม่ไกลครับ แต่ขากลับนี่..เง้อออออ
เอาวะ ยังไงก็ถือว่าเดินย่อยอาหารไปเลยล่ะกัน เดี๋ยวเราไปต่อกันที่น้ำตกพลิ้วเลยดีกว่าครับ
ผมออกจากตัวเมืองจันทบุรีมุ่งหน้าสู่อำเภอขลุง ระหว่างทางต้องแวะนี่ก่อนเลยครับ
วัดมังกรบุปผาราม(วัดเล่งฮัวยี่)
เห็นวัดนี้แล้ว ชวนให้นึกถึงวัดเล่งเน่ยยี่ 2 ที่บางบัวทอง ลักษณะคล้ายๆ กันเลยครับ
วัดมังกรบุปผารามยังก่อสร้างไม่สมบูรณ์ครับ แต่มีคนมาแวะกราบไหว้กันเยอะทีเดียว
กราบไหว้องค์ศักดิ์สิทธิ์เสร็จเรียบร้อย ที่นี้ก็ไปเหนื่อยกันต่อที่น้ำตกพลิ้วเลยดีกว่า
ออกจากวัดมังกรบุปผาราม เลี้ยวซ้ายไปแค่ประมาณ 200 เมตร เราก็จะเจอสี่แยก
เลี้ยวซ้ายเข้าน้ำตกพลิ้วได้เลยครับ
อันดับแรกก็ต้องซื้อตั๋วผ่านทางกันก่อนครับ ราคาสบายๆ แบบไทยๆ ครับ
อันนี้เป็นแผนที่แสดงถึงชื่ออ่างต่างๆ ของน้ำตกพลิ้ว เดินแวะไปเรื่อยๆ รับรองว่าไม่เหนื่อยครับ
แน่นอนครับ จุดเด่นของน้ำตกพลิ้วก็คือปลานี่แหละครับ เยอะจริงๆ จะเยอะไปไหน อิอิ
ผมเคยไปถ้ำปลาที่ปายว่าเยอะแล้วครับ เจอปลาพลวงที่น้ำตกพลิ้วนี่ ต้องเรียกว่ามีแต่ปลาเลยครับ แน่นไปหมด
ปลาพลวงชอบกินถั่ว ดังนั้นก่อนเข้าน้ำตกพลิ้วมา เราจะเห็นพ่อค้าแม่ค้าวางขายถั่วกันเต็มไปหมดเลยล่ะครับ
ผมชื่นชอบการดูแลน้ำตกของเจ้าหน้าที่ที่นี่มากครับ ห้ามอาหาร ห้ามเครื่องดื่ม จึงไม่แปลกใจครับว่าทำไมน้ำตกพลิ้วถึงสะอาด ยกนิ้วให้เลย
ผ่านด่านนี้ไปแล้วเราก็มุ่งตรงไปดูน้ำตกพลิ้วกันเลยครับ
ระหว่างทางก็จะมี พีระมิดพระนางเรือล่ม หรือ สถูปพระนางเรือล่ม สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2424) เพื่อเป็นที่ระลึกแก่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี
และอลงกรณ์เจดีย์ ซึ่งสร้างใน สมัยรัชกาลที่ 5 เช่นกัน
ด้านหลังของอลงกรณ์เจดีย์เราก็จะเห็นน้ำตกพลิ้วอยู่ไม่ไกลแล้วล่ะ
ทางขึ้น-ลงนั้นค่อนข้างชันครับ ระมัดระวังก่อนหน่อยก็ดีครับ
ตรงส่วนนี้เราจะเห็นปลาตัวใหญ่ๆ กว่าด้านล่างครับ หรือใครจะลงไปว่ายน้ำกับปลาก็ได้นะครับ อุทยานเค้าไม่ได้ห้ามไว้
นั่นไงหนูน้อยคนนี้ลงไปป้อนถั่วให้ปลากันถึงในน้ำเลย สนุกสนานเค้าล่ะงานนี้
เมื่อมาถึงตรงจุดสุดท้าย ผมนั่งพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่สักพัก ทีนี้ก็น่าจะถึงเวลาที่เราจะไปกินอาหารทะเลสดๆ ที่อำเภอขลุงกันแล้วล่ะ
ออกจากน้ำตกพลิ้วเลี้ยวซ้าย ตรงไปเรื่อยๆ พอเจอสี่แยกแหลมสิงห์ ให้เลี้ยวขวาครับ คืนนี้พอจะพักที่ ขาหย่างโฮมสเตย์ ทางเข้าจะอยู่เลยโรงพยาบาลแหลมสิงห์ไปแค่ 100 เมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายตรงไปตามป้ายเลยครับ ขาหย่างโฮมสเตย์เป็นโฮมสเตย์ที่ไม่มีป้ายบอกทางนะครับ แต่หากไปไม่ถูกให้ไปเส้นทางเดียวกับ ทะเลขวัญสมุทรโฮมเสตย์ ปลายจันท์รีสอร์ท และ อโลฮ่า โฮมสเตย์ครับ
ส่วนท่านใดที่ต้องการจองที่พักในจันทบุรี ก็ลองดูที่ Traveloka ก็ได้นะครับ จะได้ไม่ต้องเสริชหาให้ยุ่งยาก เพราะที่นี่เค้ารวมที่พักจันทบุรี ที่ราคาดีไว้ให้แล้ว บางครั้งมีส่วนลดและโปรโมชั่นด้วยทำให้ราคาถูกลงไปอีก มีเปรียบเทียบราคากับรีวิวลูกค้าให้ดูก่อนด้วยครับ
เส้นทางนั้นต้องบอกว่า “โหด” สำหรับรถเก๋งนะครับ แต่ไม่ต้องกังวล ถึงหลุมบ่อจะเยอะ แต่ค่อยๆ หยอด ค่อยขับไปครับ อย่าใจร้อน
สักพักผมก็มาถึง ทะเลขวัญสมุทรโฮมสเตย์ ให้ขึ้นสะพานไปต่ออีกหน่อยครับ ผมข้ามสะพานมาแล้ว จอดถ่ายภาพใหดูซะหน่อย ที่เห็นในภาพคือ ทะเลขวัญสมุทรโฮมสเตย์ (รีวิวทะเลขวัญสมุทรโฮมสเตย์)
ไปต่ออีกนิด (ไปตามป้าย ปลายจันท์รีสอร์ท) ก็จะเจอสี่แยก ซ้ายมือไปวัดขาหย่าง ขวามือไปที่จอดรถอโลฮ่า ขาหย่างโฮมสเตย์ให้ตรงไปเลยครับ(ตามป้ายปลายจันท์รีสอร์ท)
มาถึงแล้ว ที่จอดรถกว้างขวาง มีหลังคากันร้อนให้ด้วยครับ
พอมาถึงให้โทรหาทางโฮมสเตย์ครับ (0899102612, 0845519779) จะมีพนักงานมาช่วยขนของและพาไปที่พัก
ในภาพพี่คนนี้ชื่อ “จำเนียร” ครับ เป็นคนที่ดูแลผมตลอดที่พักที่นี่ ต้องบอกว่าการบริการของพี่ท่านนั้นไม่มีที่ติครับ หายากครับคนที่มีใจบริการแบบนี้
เดี๋ยวจะหาว่าเวอร์ ไม่ใช่แค่ผมนะครับ แขกท่านอื่นก็ชมเป็นเสียงเดียวครับว่า “เยี่ยม” จนต้องขอถ่ายรูปด้วยเลย
ขาหย่างโฮมสเตย์ค่าใช้จ่ายต่อคน คนละ 1,500บาท ที่พัก 1 คืน พร้อมอาหาร 3 มื้อ คือ เที่ยง เย็น เช้า
(ราคาปัจจุบันกรุณาโทรถามโฮมสตย์โดยตรงที่ 0899102612, 0845519779 เพราะราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามเทศกาลวันหยุด)
ดังนั้นเป็นไปได้ต้องไปให้ทันเที่ยงนะครับ ถ้าไปไม่ทันให้โทรแจ้งก่อนนะครับ
ผมเองมัวแต่เดินเที่ยวชุมชนริมน้ำจันทบูรเพลินไปหน่อย เลยโทรมาแจ้งว่าจะเข้าประมาณ บ่ายโมง
เอาล่ะเราไปดูห้องพักก่อนก่อนครับ
วิวรอบๆ ที่พักของผมที่ ขาหย่างโฮมสเตย์
ที่พักของผมคืนนี้ครับ กะทัดรัดพอดี ไม่มีแอร์นะครับ มีแต่พัดลมตั้งโต๊ะ ห้องน้ำในตัว
แค่นี้ก็หรูแล้วครับสำหรับโฮมสเตย์
บรรยากาศหน้าห้องพัก มีเก้าอี้ให้นอนเล่นรับลมเย็นๆ ครับ พวกน้ำดื่ม หรือน้ำแข็ง
รวมอยู่ในค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วนะ
ที่นอนจะเป็นนอนพื่้นแบบนี้ พร้อมหมอนผ้าห่ม ทุกอย่างสะอาดครับ คอนเฟิร์ม
เก็บกระเป๋าและสัมภาระเรียบร้อย เราไปลุยกันเลยครับ อาหารรออยู่นานแล้ว
ผมจำเมนูไม่ค่อยได้นะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น “ปลากะพงสามรส”
ปูนี่ต้องบอกว่าจะสดไปไหน เนื้อแน่น หวาน พร้อมทานเลยครับ เค้าแกะไว้ให้บางส่วน เพื่อให้แกะเองได้ง่ายครับ
เมนูต้มก็โดนลิ้นใช่ย่อยครับ ซดร้อนกับอากาศหนาวๆ แบบนี้ แหล่มจริงๆ
น้ำพริกไข่ปู อย่ามองข้ามเมนูนี้นะ ยิ่งคนชอบกินผักกับน้ำพริกแบบผมนี่ มันเป็นเมนูชั้นเลิศเลยล่ะ
กุ้งตัวเป้งๆ เนื้อแน่นๆ ลูกทะเลอย่างผม พูดเลย… สดจริงๆ
เมนูนี้เอาไว้แก้เลี่ยน หรือแก้เอียนได้ดีครับ ทำให้เรากินอาหารทะเลได้เยอะ (ทฤษฏีผมเองนะ อย่าเชื่อมาก 55)
เอาล่ะ ผมคงต้องฟัดกับปู และเมนูทั้งหมดก่อนนะ ขอตัวแป๊บ…..
เรียบร้อยครับ….ท้องตึงหนังตาก็หย่อนตามระเบียบ คงต้องถึงเวลางีบเอาแรงสักหน่อย
ทะเลจันท์ช่วงนี้อากาศมันหนาวซะเหลือเกินครับ ยิ่งอยู่ติดทะเลแบบนี้มันมีลมพัดเข้ามาตลอด ชวนให้หนาวไปใหญ่ ผมตื่นอีกที่ประมาณ 4 โมงเย็น ออกไปสำรวจรอบๆ กันหน่อยดีกว่า
โฮมสเตย์ที่นี่ผมว่าเป็นสวรรค์ของนักตกปลาเค้าเลยล่ะครับ มองไปทางไหนก็มีแต่คนตกปลา
แถมปลาก็เยอะซะด้วย
ผมเดินไปทางร่องน้ำที่เป็นทางออกสู่ทะเล ซึ่งโซนนี้จะเป็นบ้านของชาวประมงแถวนี้ครับ
หากมองไปทางฝั่งทะเล รีสอร์ทที่เห็นอยู่ซ้ายมือสุดนั่นคือ “ปลายจันท์รีสอร์ท” นั่นเองครับ
ปลายจันท์รีสอร์ท วิวจากฝั่งตรงข้าม ผมต้องรีบกลับที่พักก่อนครับ เพราะจำเนียรนัดไว้ 16.30 เพื่อจะพาไปดูเหยี่ยวแดง และวิถีชีวิตของชาวประมงแถวนี้
เที่ยวนี้ต้องบอกว่าเต็มทุกที่นั่งครับ รวมผมและแขกท่านอื่นแล้วก็แน่นอย่างที่เห็นในภาพ
จำเนียร รับหน้าที่เป็นไกด์บรรยายอยู่หัวเรือครับ ผมนั่งมาค่อนท้ายเรือ บอกตรงๆไม่ได้ยินอะไรเลย คงนึกออกใช่ไหมครับว่าเสียงเรือมันดังขนาดไหน หูแทบแตก 55 วันนี้เหยี่ยวแดง มีให้ชมเยอะอยู่ครับ แต่เราไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆ แถมกล้องผมมันซูมได้หย๋องนึง เก็บภาพมาได้แค่นี้แหละ ดูออกมะว่าเป็นเหยี่ยวแดง อิอิ
แต่ผมไม่ซีเรียสครับ ได้นั่งเรือเที่ยว รับลมเย็นๆ แค่นี้ก็เกินพอแล้วสำหรับผม (คนอื่นผมไม่รู้ด้วยนะ)
ระหว่างทางเจอที่พักที่อื่นๆ ผมก็พยายามถ่ายมาฝากเป็นข้อมูลกันครับ เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนที่หาที่พัก
เรือจะพาไปดูศาลเจ้า และแหล่งจับปลา ที่เลี้ยงหอย ของชาวประมงแถวๆ นั้นครับ
ผมมัวแต่ชมเพลินลืมถ่ายภาพเลยล่ะ อิอิ
เอาล่ะผมและชาวคณะต้องกลับที่พักกันแล้วล่ะ และพร้อมที่จะลุยมื้อเย็นกันต่อ
มาดูบรรยากาศตอนเย็นๆ ก่อนค่ำกันบ้างครับ สองห้องที่เห็น เป็นห้องสำหรับพัก 3-5 คนครับ ซึ่งอยู่ติดกับทะเลเลย เหมาะสำหรับมากันเป็นกลุ่ม นั่งก๊ง นักตกปลา กันสนุกเลยล่ะ
ซึ่งพอตกดึกผมเองก็แอบไปแจมกับเค้านิดหน่อย ก่อนนอนครับ เรียกว่าบรรยากาศมันพาไปเนาะ
ฝั่งขวานั้นจะเป็นระเบียงยื่นออกไป ตรงนี้สำหรับใช้สำหรับ ขึ้น-ลงเรือของขาหย่างโฮมสเตย์ครับ
ฝั่งซ้ายมือนั้น เป็นซุ้มสำหรับทำอาหาร และก็นั่งดื่ม นั่งกินกัน ตามประสาคนมากันเป็นกลุ่มเนาะ
มุมบ้านพักทั้งสองหลัง ถ่ายจากมุมทะเลเข้ามาครับ
เรียกว่าถ้ามากันหลายคนก็เหมาไปเลยทั้ง 2 หลัง
ส่วนอีกหลังนึงจะอยู่ขวามือ ตรงทางเข้าเลยครับ หลังนี้ก็พักได้หลายคนเช่นกัน ซึ่งจะอยู่ติดกับ ห้องอาหาร
นับแล้วขาหย่างโฮมสเตย์มีห้องพักแค่ 5 หลังครับ 2 หลังสำหรับ 2 ท่าน และ 3 หลังสำหรับพักหลายคน
หลังจากที่อัดมื้อเที่ยงไปแล้ว ผมได้บอกทางแม่ครัวว่า สำหรับโต๊ะผมกับข้าวไม่ต้องเยอะมาก เพราะกินไม่หมด เค้าเลยลดขนาดให้ครับ
มื้อนี้มีปูนิ่มทอดกระเทียมด้วย
แกงส้มปลา แกงส้มเค้าจะคล้ายๆ กับแกงส้มกรุงเทพครับ บอกตรงๆ ถ้าแกงปลาใหญ่ ต้องแกงส้มแบบใต้ครับ รับรองจะเด็ดกว่านี้
เมนูต่อไปเป็นเมนูหอยแมงภู่ ซึ่งหอยเป็นเมนูโปรดของผมอยุ่แล้ว
เพราะฉะนั้นจานนี้จึงหมดเกลี้ยงก่อนจานอื่น อิอิ
เมนูต่อไปเป็นหอยนางรม สดและหวานมาก ไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่นิดเดียว กินดิบๆ ไม่ต้องใช้เครื่องเคียง หรือน้ำจิ้มเลยครับ จานนี้ก็หมดเกลี้ยงเช่นเดียวกัน
ตบท้ายด้วย บวชฟักทอง ดูหน้าตามันธรรมดามาก แต่รสชาดไม่ธรรมดา เอิ่มมม เมนูนี้ก็เกลี้ยงเช่นเดียวกัน
นั่งย่อยอาหารกันแป๊บนึง จำเนียรจะพาเราไปเดินดูปลาที่ชาวบ้านจับได้ ซึ่งเค้าจะไปเก็บกลับมาจากทะเล ช่วงประมาณ ทุ่มหรือสองทุ่ม
ที่จับมาได้ก็จะรวมกันเป็นเข่งแบบนี้ก่อน แล้วค่อยมาคัดแยกอีกทีนึง
กุ้งตัวใหญ่ๆ เป็นๆ จากทะเลครับ ใหญ่แค่ไหน เทียบกับมือเอาเองนะครับ
ช่วงเวลานี้จะเปิดไฟกันทุกบ้านครับ เพราะเป็นเวลาที่แต่ละบ้านนั้นทะยอยนำปลาที่จับได้มานั่งคัดกัน
บ้านนี้จับได้เยอะทีเดียว ซึ่งนี่คือรายได้หลักของชาวประมงชายฝั่งที่นี่เค้าเลยนะครับ
กั้งครับกั้ง ไม่ใช่กุ้ง กั้งตัวเป็นๆ ยังดิ้นอยู่เลย
ปลาที่คัดเสร็จแล้วจะแยกเป็นเข่งๆ ไว้รอขายพ่อค้าที่จะมารับซื้อคืนนี้ หรือพรุ่งนี้เช้ามืดครับ
ตะกร้านี้เป็นกุ้งล้วนๆ นี่ยังคัดไม่เสร็จนะครับ พี่เค้าบอกว่าบางวันได้ 4-5 กิโลเลยทีเดียว
ส่วนบ้านนี้ได้กุ้งตัวใหญ่ๆ มาเยอะเลยครับ เราสามารถซื้อกุ้ง ปู หรือปลาสดๆ ได้จากที่นี่เพื่อนำไปปิ้งย่างที่โฮมสเตย์ได้เลยนะ จำเนียรเค้า มีเตาพร้อมถ่านบริการครับ
ตะกร้านี้โดนแขกกลุ่มที่พักบ้านหลังใหญ่ 2 หลังติดกับผม ซื้อไปในราคา 200 กว่าบาทเองครับ
ทั้งสดทั้งถูกเนาะ สุดๆ
คืนนี้แขกหลายๆ ท่านต่างคนต่างเข้านอนกันเร็วครับ เพราะตกดึกลมทะเลพัดแรงมาก บวกกับอากาศหนาว เป็นอะไรที่สุดๆครับ คนที่นั่นบอกอยู่ที่นี่มา 30 ปี ปีนี้แหละที่หนาวที่สุด
มื้อเช้าของผมวันนี้ กาแฟกับกับบ๊ะจ่างเสียงสวรรค์ ที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวานที่ชุมชนริมน้ำจันบูร
เจอลูกเดียวอิ่มแปล้จนอยากนอนต่อเลย
ส่วนมื้อเช้าของขาหย่างโฮมสเตย์จะเป็นแบบบุฟเฟ่ครับ มีข้าวต้มปลา ผัดไทยเส้นจันท์ ถั่วเขียวต้ม และก็ขนมอีกหลายอย่างครับ แต่ผมคงไม่ไหวแล้วล่ะ
เอาล่ะครับ หมดเวลากับขาหย่างโฮมสเตย์แล้ว สายๆ ผมออกจากขลุง มุ่งหน้าสู่แหลมสิงห์
เพื่อแวะมาที่นี่ครับ “ตึกแดง”
ตึกแดงเป็นตึกที่มีประวัติศาตร์ยาวนานนะครับ หากไปแวะชมที่นี่ แนะนำให้อ่านประวัติกันนิดนึง เราจะรู้ว่าตึกนี้สำคัญอย่างไร
แต่ผมมองว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง น่าจะให้ความสนใจดูแลตึกนี้หน่อยครับ
คุณชูว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวประจำจังหวัด แต่การดูแลนั้นกลับตรงกันข้าม
หากใครต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือสอบถามเส้นทาง สามารถถามลุงเค้าได้ครับ
ลุงเค้าอธิบายจนละเอียดยิบเลยล่ะ
ตึกแดงจะอยู่ติดกับท่าเรือประมงครับ ดังนั้นเราจะได้กลิ่นคาวปลาเป็นระยะ ส่วนสะพานที่เห็นนั่นคือ สะพานตากสิน ซึ่งผมจะใช้สะพานนี้แหละข้ามไปเพื่อยังหาดเจ้าหลาว
สถานที่ท่องเที่ยวที่จันบุรีชูว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวประจำจังหวัดอีกที่นึงคือ คุกขี้ไก่ครับ อยู่ห่างจากตึกแดงประมาณ 200 เมตร
จากนั้นผมมุ่งหน้าไปยังฟาร์มปลาโลมา หรือ โอเอซิส ซี เวิร์ล ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก มีป้ายบอกตลอดทางครับ
ไฮไลต์ของที่นี่คือการแสดงโชว์ปลาโลมาครับ โดยแต่ละรอบจะเปิดให้เข้าชมห่างกัน 2 ชั่วโมง โดยจะเริ่มที่ 9 โมงเช้า ผมได้ที่นั่งมุมดีมากครับ เสาบังเต็มๆ T_T
เอาล่ะโชว์เริ่มแล้วครับ ภาพอาจจะไม่ชัดเท่าไหร่ เพราะผมนั่งไกล กล้องก็ซูมได้นิดเดียว ต้องขออภัยกันไว้ก่อน
เจ้าสองตัวนี้เป็นโลมาสีชมพู แสนรู้และน่ารักมากๆ เลยครับ มีใส่แว่นโชว์ด้วยแฮะ
ส่วนเจ้าตัวเล็กสองตัวนี้ยังเป็นเด็กอยู่ อาจจะโชว์น้อยไปหน่อย แต่เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้ทุกครั้ง
โชว์ต้นฮาวาย แสนรู้จริงๆ ครับ ไปจันทบุรี ต้องไม่พลาดนะครับสำหรับที่นี่
สุดท้ายเป็นการโชว์ยืนบนหลังปลาโลมา เป็นโชว์ปิดท้ายของวันนี้ครับ
การโชว์มีเยอะกว่านี้นะ แต่ผมเก็บภาพได้แค่บางส่วนเท่านั้น เพราะมัวแต่นั่งปรบมือ อิอิ
หลังจากจบโชว์แล้วเราสามารถเดินซื้อของฝาก ชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือให้อาหารปลาหมอยักษ์
ซึ่งอยู่โซนใกล้ๆ กันครับ
จากนั้นผมขับรถย้อนกลับมาทางคุกขี้ไก่อีกรอบนึง เพื่อขึ้นสะพานตากสิน บนสะพานนั้นเค้ามีป้ายห้ามรถจอดครับ
แต่ดันทำไหล่ทางไว้สำหรับจอดรถซะงั้น แนะนำว่าควรเปลี่ยนเป็นป้ายให้ระวังคนข้ามถนนดีกว่าครับ อิอิ
สะพานตากสินนั้นลมเย็นดีมากครับ ถึงแม้แดดจะร้อนไปหน่อย แต่ผมแนะนำว่าช่วงเวลาที่จะแวะจุดนี้ควรจะเป็นเย็นๆ หน่อยครับ วิวและอากาศน่าจะน่ายลกว่านี้
เท่าที่สังเกตุจะไม่ค่อยมีเรือวิ่งเท่าไหร่ วิวเลยโล่งๆ สบายตา
อ้าวเที่ยงอีกแล้วเหรอนี่ ป่ะเราไปหาอาหารทะเลกินกันที่ “ครัวเสม็ดแดง” ครับ
ลงจากสะพานตากสิน ไปแค่ 100 เมตร ให้เลี้ยวซ้ายแล้วไปตามป้ายเลยครับ
ครัวเสม็ดแดง เป็นร้านอาหารที่วิวแจ่มเลยล่ะครับ เราสามารถเห็นวิวของแหลมสิงห์
และสะพานตากสินได้แบบเต็มๆ
ร้านจะอยู่ติดกับทะเลเลย น้ำใสสะอาดครับ อาจจมีขยะบ้าง แต่เป็นเพียงขยะธรรมชาติ เช่นใบไม้ หรือกิ่งไม้ครับ
เนื่องจากยังเอียนๆ อาหารทะเลอยู่ผมเลยสั่งเป็นอาหารจานเดียว “กะเพราทะเล”
เมนูนี้ต้องขอแนะนำครับ อร่อยจริงๆ
ถ้าอาหารอร่อยแบบนี้ สั่งเมนูอื่นมาลองหน่อยล่ะกัน….. ส้มตำทะเล รสจี๊ดมากครับ ขอบอก
เมนูสุดท้ายเป็นเมนูโปรดผมอีกล่ะ “หอยหวานเผา” เมนูนี้ก็แนะนำครับ หอยเค้าสด ขนาดกำลังดี พอดีคำ
อิ่มหนำกันเรียบร้อย ทีนี้ก็มุ่งสู่หาดเจ้าหลาว กันเลยครับ
อันที่จริงแล้ว เมื่อเที่ยวหาดเจ้าหลาว อ่าวคุ้งกระเบน อ่าวคุ้งวิมาน ผมก็สามารถกลับได้เลยครับ ซึ่งถือว่าเป็นทริป 2 วัน 1 คืนที่กำลังดี แต่ทริปนี้ผมมีเวลาเยอะ ดังนั้น ผมเลยตัดสินใจพักอีกคืนนึงครับ โดยที่พักผมคือ นวลจันทร์รีสอร์ท ซึ่งถ้าขับรถมาทางสะพานตากสิน รีสอร์ทจะถึงก่อนหาดเจ้าหลาว
รีสอร์ทจะแบ่งเป็น 2 โซนคือ
โซนที่ติดทะเล ชื่อบ้านทับทิม ราคาจะอยู่ประมาณ 1800 วันหยุดยาว, 1500 บาท สำหรับเสาร์-อาทิตย์
โซนไม่ติดทะเล ชื่อบ้านไข่มุก บ้านไพลิน คืนละ 1200 วันหยุดยาว, 1000 บามสำหรับเสาร์-อาทิตย์
รายละเอียดนั้นเข้าไปดูที่เวปไซต์ของรีสอร์ทเองได้เลยครับ http://www.nuanchanresortandspa.com/roomrate.php
วันนี้ผมพักที่ห้องไข่มุกคืนละ 1200 บาท พร้อมอาหารเช้า ผมแนะนำให้จองบ้านทับทิมนะครับ เพราะวิวดีกว่า
และบ้านจะแยกเป็นสัดส่วน มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า
ผมไม่มีภาพชาดหาดจ้าวหลาว อ่าวคุ้งกระเบน แหลมเสด็จมาฝากนะครับ เพราะว่าวันที่ไปนั้นคนเยอะมาก ผมเองได้แค่ขับรถเที่ยว ชมวิวเทานั้นไม่ได้แวะที่ไหน
หากจะหลีกหนีคนเยอะๆ หลบไปพักผ่อนกับบรรยกาศเงียบๆ ผมแนะนำให้ไปอ่าวคุ้งวิมาน ที่นี่สวย
ไม่มีที่พัก ดังนั้นคนจึงน้อยกว่า
มีจุดชมวิวให้นั่งมองทะเล แบบสบายหูสบายตา แนะนำให้ไปตอนเย็นๆ นะ
ส่วนเรื่องของกินไม่ต้องกังวล มีให้เลือกกินเยอะครับ
บรรยากาศมันพาไป(อีกล่ะ) ปลาหมึกย่างร้อนๆ หอมกรุ่นแบบนี้ มันต้องคู่กับเบียร์เย็นๆ ว่ามะ อิอิ
พอพระอาทิตย์ใกล้ตก เราไปชมวิวกันที่จุดชมวิวพระยืนต่อเลยครับ
และนี่ก็เป็นแสงสุดท้าย และภาพสุดท้ายของทริปจันบุรี 3 วัน 2 คืน ของผมครับ
จันทบุรีเป็นจังหวัดที่เที่ยวง่าย และเดินทางง่าย และใช้เวลาแค่ 2 วัน 1 คืน เราก็สามารถเที่ยวจันทบุรีได้ครบแล้วล่ะครับ แต่ทริปนี้ผมไปแบบ 3 วัน 2 คืน เนื่องจากอยากขับรถเที่ยวไปเรื่อยๆ ไม่ฟิกเรืองเวลาและเรื่องแหล่งท่องเที่ยว ผมเลือกเดินทางวันที่ 29 ธันวา และกลับวันที่ 31 (ปี56)เนื่องจากช่วงนั้นเป็นวันหยุดยาว ผมเลยต้องมองหาจังหวัดที่คนเที่ยวน้อย ๆ และจันทบุรีก้อคือตัวเลือกของผม
ผมเที่ยวจันบุทรีเป็นวงกลม นั่นคือขับรถเข้าจันทบุรีตามเส้นทางถนนสุขุมวิท ทางหลวงหมายเลข 3 จากนั้นก็เข้าอำเภอท่าใหม่ และตรงไปอำเภอเมือง เที่ยวในเมือง เที่ยววัดมังกรปุบผาราม เที่ยวน้ำตกพลิ้ว
จากนั้นก็ตรงไปตามถนนสุขุมวิท แล้วเลี้ยวขวาที่แยกแหลมสิงห์ เพื่อไปขลุง กินอาหารทะเล นอนโฮมเสตย์
และออกจากขลุงไปเที่ยวทะเล แหลมสิงห์ ต่อด้วยอำเภอท่าใหม่ เที่ยวหาดจ้าวหลาว อ่าวคุ้งกระเบน อ่าวคุ้งวิมาน และก็ออกถนนสุขุมวิท กลับกรุงเทพ
การเดินทางไปจันทบุรี
จันบทุรีนั้นเดินทางง่ายครับ ใช้เส้นทางไปทางเดียวกับจังหวัดตราด นั่นคือ ขึ้นมอเตอร์เวย์ ไปทางชลบุรี จากนั้นเมื่อผ่านด่านพานทอง ให้เลี้ยวซ้ายไป อำเภอแกลง วิ่งตามถนนไปเรื่อยๆ เจอสามแยก
ก็เลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นสุขุมวิท ทีนี้วิ่งยาวเลยครับ แต่ทางไปจันทบรีถนนนั้นขรุขระเป็นระยะยาวนะครับ แต่พอเข้าเขตอำเภอท่าใหม่แล้ว ถนนก็ดีเป็นปกติ ส่วนขากลับก็วิ่งเส้นทางเดิมได้เลย
ร้านอาหาร จันทบุรี
จันทบุรีผมว่าเป็นอีกจังหวัดนึงนะ ที่อาหารพื้นเมืองน่าสนใจมากๆ เช่น ผัดไทเส้นจันท์ บ๊ะจ่างเสียงสวรรค์ ก๋วยเตี๋ยวหมูเลียง แต่ผมนั้นไม่ค่อยทำการบ้านเรืองร้านอาหารซักเท่าไหร่ เวลาจะไปเที่ยวไหน
ผมเน้นเจอแล้วก็แวะเลย แต่มาจันทบุรีคราวนี้ โชคดีที่ได้กินอาหารถูกปากทุกมื้อ
ส่วนถ้าเป็นร้านอาหารทะเล ก็แนะนำครัวเสม็ดแดง ที่แหลมสิงห์ ถ้าไปจากแหลมสิงห์ ขึ้นสะพานตากสินเพื่อมุ่งหน้าไปหาดเจ้าหลาว ลงสะพานไป 100 เมตรให้เลี้ยวซ้าย ตรงโค้งครับ จากนั้นก็ไปตามป้าย วิวดี อาหารอร่อย ราคาไม่แพงครับ
สำหรับใครที่เดินทางไปถึงจันทบุรีในตอนเช้า ก็ให้ลองร้านอาหารเช้าซอย5 ดูครับ เป็นกิจการร้านอาหารแบบครอบครัว เมนูของเค้าจะมีเมนูที่เป็นอาหารญวนปนกับไทยครับ ผมคุยกับเจ้าของร้านแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนในพื้นที่ครับ ถึงร้านจะเล็กแต่มีที่จอดรถให้พร้อม อีกทั้งร้านยังสะอาด ราคาก็ไม่แพงและอร่อยด้วยครับ สอบถามเส้นทางร้าน โทร 081 590 1165 ไปไม่ยากครับ เมืองจันทบุรีเล็กนิดเดียว วนแป๊บเดียวก็ทั่วแล้วล่ะ
ส่วนการเดินกินก็เป็นอีกรูปแบบนึงที่น่าสนใจครับ หากเราเดินเที่ยวชุมชนริมน้ำจันทบูร ของกินพื้นเมืองมีให้กินเช่นกัน อาจจะไม่เยอะแยะมากมาย แต่รับรองว่าอิ่มแน่นอน ที่สำคัญรสชาดอาหารเป็นแบบพื้นเมือง และราคาถูก
ที่พักจันทบุรี
ที่พักในตัวเมืองจันทบุรีนั้น ผมไม่ค่อยจะเห็นเท่าไหร่นัก หรือเพราะผมอาจไม่ได้เน้นพักในเมืองมั้งครับ แต่หากใครอยากจะพักในเมือง ผมแนะนำให้เดินหาแถวๆ ชุมชนริมน้ำครับ ผมมองว่าหากไปเที่ยวแล้ว ก็ควรหาที่พักที่มันได้บรรยากาศจันทบุรีหน่อยดีกว่า
แต่หากพูดถึงที่พักจันทบุรี แน่นอนคนจะมุ่งไปที่ริมทะเล นั่นก็คือ หาดจ้าวหลาว และแหลมสิงห์ ผมพักที่นวลจันทร์รีสอร์ทครับ หากเรามาทางแหลมสิงห์ ก็จะเจอรีสอร์ทนี้ก่อนถึงหาดจ้าวหลาว เป็นรีสอร์ทที่จะมี 2 โซน โซนนึงจะมีห้องพักหลายห้อง ล้อมรอบสระน้ำ ห้องนึงราคา 1200 พักได้สองท่าน เตียงเสริมท่านละ 250 อีกโซนจะอยู่อีกฝั่งถนน ราคา 1800 โซนนี้จะติดทะเลเลยครับ ราคานี้พร้อมอาหารเช้า จันทบุรีถึงแม้จะมีคนเที่ยวน้อยในช่วงเทศกาล แต่ห้องพักก็ยังเต็มอยู่ดีนะครับ ผมเคยมาเมื่อสงกรานต์ 4 ปีก่อน ก้อพักที่นี่เช่นกัน เพราะห้องพักตามชายหาดเต็มหมดเลย
สถานที่ท่องเที่ยวจันทบุรี
จันทบุรีนอกจากสถานที่ท่องเที่ยวริมทะเลแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองก็มีเยอะครับ ผมเองไปคราวนี้ก็ยังแวะได้ไม่หมดเช่นเดียวกัน
ในตัวเมืองจันทบุรี ก็จะมี โบสถ์พระนางมารี ศาลพระเจ้าตากสิน วัดไผ่ล้อม ชุมชนริมน้ำจันทบูร
จากตัวเมืองไปทางแหลมสิงห์และขลุง ก็จะมี วัดมังกรบุปผาราม น้ำตกพลิ้ว ตึกแดง คุกขี้ไข่
สะพานตากสิน แหลมสิงห์
อำเภอท่าใหม่ ก็จะมี แหล่งเรือโบราณ ค่ายเนินวง,สำนักงานโบราณคดีใต้น้ำ หาดจ้าวหลาว
อ่าวคุ้งกระเบน อ่าวคุงวิมาน
นึกได้เท่านี้ครับ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ก็ลองหาดูเอาตามเน็ตนะครับ
โฮมเสตย์ใกล้เคียงที่อยากแนะนำ คือ ทะเลขวัญสมุทรโฮมสเตย์ คลิกดูรีวิวได้เลยครับ
ขอบคุณที่ติดตาม ขอบคุณมากมาย ขอบคุณอย่างแรง นายหัว
อุปกรณ์:
กล้องดิจิตอล : Olympus OMD EM5
เลนส์ : zuiko 12-50/f3.5-6.3, Panasonic 25/1.4